13/8/56

บทความเกี่ยวกับ สรรพคุณ สมุนไพรไทย เพื่อสุขภาพนานาชนิด








 บทความเกี่ยวกับสรรพคุณสมุนไพรไทยเพื่อสุขภาพนานาชนิด







วิธีดูแลผิวขาวผิวสวย



     

        สรรพคุณ และ ประโยชน์ของเห็ดตับเต่า ที่ควรรู้!




ถ้าพูดถึงเห็ดแล้ว ทุกๆ คนจะนึกถึงเห็นอะไรเป็นอย่างแรกค่ะ แล้วรู้ไหมค่ะว่าเห็ดแต่ละประเภทนั้นมีสรรพคุณและประโยชน์อะไรบ้าง มั่นใจเลยว่าเห็ดที่นึกถึงนั้นต้องไม่มีเห็ดชนิดนี้แน่นอน เห็ดที่ว่านั้นคือ "เห็ดตับเต่า" นั้นเองค่ะ หลายๆ คนก็คงอาจจะไม่เคยได้ยินเห็ดชนิดนี้แน่นอน เพราะฉะนั้นวันนี้ก็เลยจะมาแนะนำสรรพคุณของเห็ดตับเต่าและประโยชน์ของเห็ดตับเต่าที่ควรรู้ค่ะ เห็ดนี้ก็จัดได้ว่าเป็นผักอีกหนึ่งชนิดซึ่งก็อย่างที่รู้ๆ กันดีว่าถ้าเอ่นถึงผักนั้นก็คือสิ่งที่มีประโยชน์ แล้วเห็ดตับเต่านี้ก็เป็นผักอีกหนึ่งชนิดที่มีประโชยน์จริงๆ ค่ะ เห็ดตับเต่านี้จะหาได้ง่ายมากๆ ในช่วงของฤดูฝน อีกทั้ง สรรพคุณของเห็ดตับเต่า และ ประโยชน์ของเห็ดตับเต่า ก็มีมากมายสะเหลือเกินค่ะ มั่นใจได้เลยว่ายังไม่หลายๆ คนที่ไม่รู้จักกับ สรรพคุณของเห็ดตับเต่า และ ประโยชน์ของเห็ดตับเต่า วันนี้ก็เลยได้นำเอาข้อมูลน่ารู้ๆ เกี่ยวกับ สรรพคุณของเห็ดตับเต่า และ ประโยชน์ของเห็ดตับเต่า มาให้ได้ร้กันค่ะ ยิ่งคนที่รักสุขภาพรวมไปถึงสาวๆ ยุคใหม่ที่ใส่ใจสุขภาพตัวเองด้วยแล้วหล่ะก็ คุณจะต้องไม่พลาดเรื่องน่ารู้ๆ ได้นำมาฝากในวันนี้แน่นอนค่ะ ถ้าอยากรู้ว่า สรรพคุณของเห็ดตับเต่า และ ประโยชน์ของเห็ดตับเต่า มีอะไรบ้างก็ไปดูกันเลยค่ะ

สรรพคุณ / ประโยชน์ของเห็ดตับเต่า

“หอมเอย.. หอมดอกกระถิน รวยระรินเคล้ากลิ่นกองฟาง เห็ดตับเต่าขึ้นอยู่ริมเถาย่านาง…” 

สังเกตมั๊ยคะว่า  ในเนื้อเพลงท่อนนี้มีของกินอยู่ชนิดหนึ่งที่คนสมัยนี้อาจจะไม่รู้จักกันแล้ว นั่นก็คือ “เห็ดตับเต่า”

คนรุ่นเก่า ที่มีภูมิลำเนาอยู่ตามชนบท เชื่อได้ว่าส่วนใหญ่ จะรู้จักและเคยรับประทานเห็ดตับเต่าอย่างแน่นอน ซึ่งเห็ดตับเต่าชนิดนี้จะมีขายและมีให้ซื้อรับประทานเฉพาะช่วงฤดูฝนเท่านั้น เมื่อเริ่มมีเม็ดฝนโปรยปรายลงมาเห็ดตับเต่าที่ทิ้งสปอร์ ไว้ใต้ดินที่มีความชื้นเย็นสูง เช่น ป่าเบญจพรรณ ป่าเต็งรัง โดยเฉพาะบริเวณใต้ต้นหว้า จะแทงดอกชูชันเหนือดินให้คนที่มีอาชีพเก็บเห็ดเข้าไปเก็บนำไปขายในตลาดตัวเมือง ได้รับความนิยมซื้อไปรับประทานอย่างกว้างขวาง ราคากิโลกรัมเกือบร้อยบาทเลยทีเดียวค่ะ
เห็ดตับเต่า มีชื่อสามัญว่า Bolete  หรือชื่อวิทยาศาสตร์คือ Thaeogyroporus porentosus (berk. ET. Broome)  อยู่ในวงศ์ Boletaceae ทางภาคเหนือจะเรียกกันว่า เห็ดห้า เพราะจะขึ้นบริเวณใต้ต้นหว้า ซึ่งชาวเหนือเรียกต้นหว้าว่า ต้นห้า ส่วนในภาคอีสานเรียกว่า เห็ดน้ำผึ้ง ค่ะ ถิ่นกำเนิดของเห็ดตับเต่าจะพบในแถบประเทศทีมีอากาศชื้น พบได้ในป่าทั่วไปตามภาคเหนือ ภาคอีสาน และภาคใต้  หรือจะพบในช่วงต้นฤดูฝนและปลายฤดูฝนนั่นเองค่ะ

เห็ดตับเต่าจะขึ้นเองตามธรรมชาติจึงนับได้ว่าเป็นเห็ดที่ปลอดสารพิษ (แต่ในปัจจุบันเริ่มมีการเพาะเห็ดตับเต่าขายแล้ว) หน้าตาของเห็ดชนิดนี้จะมีสีออกน้ำตาล น้ำตาลเข้ม ไปจนถึงสีดำ

ลักษณะทางพฤกษศาตร์ของเห็ดตับเต่าคือ หมวกเห็ดเป็นรูปกระทะคว่ำ เส้นผ่าศูนย์กลาง 12-30 ซม. ดอกอ่อนมีขนละเอียดคล้ายกำมะหยี่สีน้ำตาลเมื่อบานเต็มที่กลางหมวกเว้าเล็กน้อย ผิวสีน้ำตาลเข้มอมเหลืองอ่อนปริแตกเป็นแห่งๆ ด้านล่างของหมวกมีรูกลมเล็กๆ สีเหลืองปากรูเชื่อมติดเป็นเนื้อเดียวกันเมื่อบานเต็มที่เนื้อจะเปลี่ยนเป้นสีเหลืองอมเขียวหม่นและเขียวหม่นอมน้ำตาล ก้านอวบใหญ่สีน้ำตาลอมเหลือง โคนก้านโป่งเป็นกระเปาะบางส่วนนูนและเว้าเป็นร่องลึกเมื่อตัดหรือหั่นถูกอากาศ เนื้อเห็ดตับเต่าจะสีน้ำเงินอมเขียว

ว่ากันว่าเห็ดนั้นเป็นอาหารสุขภาพชนิดหนึ่ง กินแล้วได้ประโยชน์ต่อร่างกาย (ยกเว้นจะไปกินเห็ดพิษเข้า) ให้พลังงาน โปรตีน คาร์โบไฮเดรต และแร่ธาตุต่างๆ ส่วนสรรพคุณทางยาของเห็ดตับเต่านั้นเป็น ยาบำรุงหัวใจ บำรุงกำลัง บำรุงตับ บำรุงปอด กระจายโลหิต และดับพิษร้อนภายในร่างกาย นอกจากนี้ยังช่วยบำบัดอาการปวดหลัง ปวดข้อ ปวดเส้นเอ็นและกระดูก ป้องกันการชักกระตุก คนจีนใช้เป็นสมุนไพร แก้เคล็ดคัดยอก และปวดกระดูก

ในการปรุงเป็นอาหารส่วนใหญ่ นิยมใช้ทั้ง ดอกเห็ด ทำเป็นแกงลาวใส่ยอดฟักทอง หน่อไม้สด ใส่ใบแมงลักเพิ่มกลิ่นหอมเป็นชูรสให้ชวนรับประทานยิ่งขึ้น สำหรับเครื่องประกอบจะมีพริกขี้หนูสด หรือพริกขี้หนูแห้ง หอมแดง ข่า ตะไคร้ อย่างละ 1 แว่น โขลกให้ละเอียดต้มกับน้ำจนเดือดแล้วผ่าเห็ดตับเต่าครึ่งซีก ล้างน้ำให้สะอาดใส่ลงหม้อ ปรุงรสด้วยน้ำปลาร้า ถ้าไม่กินปลาร้า ใช้เกลือแทน น้ำตาลทรายเล็กน้อยโรยด้วยใบแมงลักตามที่กล่าวข้างต้น ตักรับประทานกับข้าวสวยร้อนๆ เนื้อเห็ดจะซัน้ำแกงกรุบอร่อยมาก สามารถใส่เห็ดเผาะ หรือเห็ดฟางลงไปทำเป็นแกงเห็ดรวมเพิ่มความอร่อยได้เต็มรูปแบบ

เมื่อนำไปปรุงเป็นอาหารแล้ว จะมีรสชาติอร่อยไม่แพ้เห็ดทรัฟเฟิลของฝรั่งเศสที่มีราคาแพง กิโลกรัมหลายหมื่นบาทแม้แต่น้อย และเห็ดตับเต่าจะมีสีดำเหมือนกัน ที่สำคัญจะเกิดขึ้นเองตามธรรมชาติเช่นกัน  จึงเป็นเห็ดปลอดสารพิษอย่างแน่นอน รับประทานแล้วได้คุณค่าทางอาหารอย่างเต็มเปี่ยม
คุณค่าทางอาหารเมื่อรับประทานเห็ดตับเต่า 100 กรัม  จะให้พลังงาน 29 กิโลแคลอรี ประกอบด้วย  น้ำ 92.4 กรัม  โปรตีน 2.5 กรัม ไขมัน 0.1 กรัม  คาร์โบไฮเดรต 4.5 กรัม  แคลเซียม 13 มิลลิกรัม  ฟอสฟอรัส 37 มิลลิกรัม  ไทอะมีน 0.06 มิลลิกรัม  ไนอะซิน 2.0 มิลลิกรัม  และวิตามินซี 16 มิลลิกรัม
ข้อสำคัญการจะเก็บเห็ดมากินนั้น ไม่ว่าจะเป็นเห็ดชนิดใดก็ตาม จะต้องให้แน่ใจได้ก่อนว่าไม่ใช่เห็ดพิษ เพราะในช่วงฤดูฝนไปจนถึงฤดูหนาวนั้น เป็นช่วงที่มีเห็ดหลากหลายสายพันธุ์ขึ้นเองตามธรรมชาติโดยเฉพาะ ในป่า ในไร่ หรือในสวน ซึ่งก็มีทั้งที่กินได้และไม่ได้ โดยเฉพาะเห็ดพิษบางชนิดก็มีสีสันสวยงามล่อตาล่อใจ บางชนิดก็มีหน้าตาคล้ายคลึงกับเห็ดที่ขายตามตลาดทั่วไป ซึ่งการจะพิสูจน์ได้ว่าเห็ดชนิดใดเป็นพิษหรือไม่ ต้องอาศัยการตรวจวิเคราะห์ทางห้องปฏิบัติการเท่านั้น








วิธีรักษาสุขภาพ


  

เชื่อหรือไม่ว่า !!! ลิ้นจี่มีสรรพคุณป้องกันโรคตับ




สุขภาพร่างกายของคนเรานั้นเป็นสิ่งที่ไม่แน่นอนจริงๆ บางทีอยู่ดีๆ ก็เจ็บป่วยขึ้นมาอย่างไม่ทันได้ตั้งตัว ซึ่งจำเป็นมากๆ ที่เราจะต้องดูแลสุขภาพร่างกายอยู่เสมอ แต่เนื่องจากโรคบางโรคก็ไม่รู้ว่าควรจะป้องกันอย่างไร เลยทำให้หนีไม่พ้นโรคเหล่านั้นซึ่งต้องได้รับการรักษาจากแพทย์โดยตรง แต่ทราบหรือไม่ค่ะว่าโรคบางโรคนั้นก็มีผลไม้บางชนิดสามารถป้องกันได้เหมือนกันนะค่ะ วันนี้ มีเรื่องที่นึกไม่ถึงมาฝากกันค่ะ เชื่อหรือไม่ว่า!!! ลิ้นจี่มีสรรพคุณป้องกันโรคตับได้ หลายๆ คนคงไม่เชื่อใช่ไหมล่ะค่ะ แต่นี่คือเรื่องจริงที่ได้รับการวิจัยออกมาแล้วว่า ลิ้นจี่มีสรรพคุณป้องกันโรคตับ ได้จริงๆ ถึงแม้จะเป็นเพียงแค่ผลไม้ธรรมดาๆ แต่ตอนนี้ลิ้นจี้กลายเป็นผลไม้ที่มีประโยชน์มากๆ เลยนะค่ะเนี๊ย!!! จิ๋วแต่แจ๋วจริงๆ เลยว่าไหมค่ะ เอาเป็นว่าเราไปดูรายละเอียดกันเลยดีกว่านะค่ะว่า ลิ้นจี่มีสรรพคุณป้องกันโรคตับ ได้มากน้อยเพียงใด แล้วรายละเอียด นำมาฝากนี้จะเป็นประโยชน์สำหรับคนที่รักสุขภาพมากน้อยเพียงใดกันบ้างเอ่ย...ค่ะ

ลิ้นจี่มีสรรพคุณป้องกันโรคตับ

“ลิ้นจี่”เป็นผลไม้ที่มีสีแดงมีมายาวนานกว่าพันปี ซึ่งมีต้นกำเนิดของผลไม้ชนิดนี้มาจากประเทศจีนมีหลากหลายสายพันธุ์ทั้ง กิมเจ็ง ฮงฮวย และ จักรพรรดิ ในบ้านเราแหล่งที่มีพื้นที่ปลูกมากจะอยู่ในภาคเหนือ และเพื่อเป็นการเพิ่มมูลค่าให้กับผลไม้ไทย รศ.ดร.ภญ.พาณี ศิริสะอาด คณะเภสัชศาสตร์มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ จึงศึกษาค้นคว้าคุณประโยชน์ผลไม้ดังกล่าว

รศ.ดร.ภญ.พาณี เปิดเผยว่า... ช่วงนี้เราเริ่มเห็นผลลิ้นจี่ทยอยสุก แต่สียังไม่เข้มจัดการเก็บเกี่ยวลิ้นจี่มักเริ่มในเดือนกรกฎาคมถึงพฤศจิกายน เมื่อลิ้นจี่ออกสู่ท้องตลาดลิ้นจี่จะเป็นของฝากที่มีคุณค่าที่เหมาะสำหรับผู้รับ เนื่องจากอุดมไปด้วยคาร์โบไฮเดรต และโปรตีน และช่วยย่อยอาหาร ช่วยในการบำรุงอวัยวะภายในต่างๆ ภายในร่างกาย
ทั้งนี้จากการศึกษาค้นคว้าข้อมูลพบว่าเนื้อลิ้นจี่เป็นผลไม้ที่อุดมไปด้วยวิตามิน และเกลือแร่ น้ำมันจากเมล็ดลิ้นจี่มีสารประกอบ เป็นกรดไขมันที่สำคัญ เช่น ปาล์มมิติก 12% โอลิอิก 27% และไลโนเลอิก 11% เปลือก จะมีสารกลุ่มฟลาโวนอลที่สำคัญคือ โพรไซยาไนดินบี 4 ไพรไซยา-ไนดินบี 2 และอีพิคาเทชิน ส่วนที่สำคัญคือ ไซยาไนดิน-3-รูตินโนไซด์ ไซยาไนดิน-3กลูโคไซด์ เควอเซทิน-3-รูติโนไซด์ และเควอเซทิน-3-กลูโคไซด์ มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระสูง

และ...ยับยั้งการเจริญของเซลล์มะเร็งเต้านมจากสรรพคุณดังกล่าว ชาวแดนมังกรจึงนิยมกินผลไม้ดังกล่าวเพื่อช่วยบำรุงแก้อาการไอเรื้อรัง คัดจมูก อาการท้องเดิน ลดกรดในกระเพาะอาหาร และยังนำมาทำเป็นชาชงเพื่อบรรเทาอาการหวัด แก้การติดเชื้อในลำคออาการท้องเสียอย่างอ่อน และโรคจากการติดเชื้อไวรัส 

เปลือกเนื้อใน รวมทั้งเมล็ดล้วนมีโอสถสาร
จากรายงานวิจัยยังพบว่าสารสกัดลิ้นจี่ลดขนาดเนื้องอกในสัตว์ทดลอง แต่ไม่ได้ระบุว่าเป็นสารสกัดส่วนใดของลิ้นจี่สำหรับงานวิจัยนักวิทยาศาสตร์ของไทยพบว่า สารสกัดผลลิ้นจี่มีฤทธิ์ในการปกป้องตับ ในหนูที่เหนี่ยวนำให้ได้รับสารพิษและเป็นโรคตับ








สมุนไพรไทย



สรรพคุณ และ ประโยชน์ของเห็ดกระถินพิมาน




ถ้าเอ่ยถึงเห็ดหลายๆ คนจะนึกถึงเห็ดอะไรบ้างค่ะ เห็ดมีหลายชื่อหลายชนิด ทั้งที่กินได้ แล้วก็กินไม่ได้ เชื่อว่าทุกๆ คนต้องเคยกินเห็ดแน่นอน ไม่ว่าจะเป็น เห็ดหูหนู เห็ดเข็มทอง และอีกมากมายหลายชนิดและเห็ดก็จัดเป็นผักอีกหนึ่งประเภทที่มีประโยชน์ต่อร่างกายของเราเช่นกัน แต่เห็ดที่ จะพูดถึงในวันนี้เชื่อว่าหลายๆ คนไม่ค่อยจะรู้จักกันสักเท่าไหร่ค่ะ เห็ดชนิดนี้มีชื่อว่า เห็นกระถินพิมาน ได้ยินมาว่าเห็ดชนิดนี้มีประโยชน์อย่างมาก เชื่อหรือไม่ค่ะว่าสรรพคุณของเห็ดกระถินพิมาน และ ประโยชน์ของเห็ดกระถินพิมาน นั่นสามารถยับยั่งเซล์ลมะเร็งได้ ไม่นานเชื่อใช่มั้ยหล่ะค่ะ วันนี้ก็เลยมีข้อมูลของ สรรพคุณของเห็ดกระถินพิมาน และ ประโยชน์ของเห็ดกระถินพิมาน นี้มาฝากกันนะค่ะ ข้อมูลที่แท้จริงของ สรรพคุณของเห็ดกระถินพิมาน และ ประโยชน์ของเห็ดกระถินพิมาน นี้จะเป็นอย่างไร แล้วช่วยยับยั้งเซล์ลมะเร็งได้จริงหรือไม่ งั้นตามมาดูข้อมูลด้านล่างนี้พร้อมกันเลยนะค่ะ

สรรพคุณ / ประโยชน์ของเห็ดกระถินพิมาน

"เห็ดกระถินพิมาน" (Phellinus igniarius) หรือที่ชาวบ้านในภาคเหนือเรียกว่า คะยา หรือ หนามขาว ชาวสุโขทัย เรียกว่า กระถินป่า หรือ กระถินวิมาน ชาวภาคกลางเรียก กระถินหางกระรอก หรือ กระถินพิมาน นั้น มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Fomes rimosus (Berk.) Cooke. เป็นเห็ดในตระกูล olyporaceae เป็นไม้ยืนต้นขนาดย่อม สูงประมาณ 8-10 เมตร มักขึ้นตามป่าละเมาะ หรือป่าเบญจพรรณที่แห้งแล้ง อย่างในประเทศไทยก็พบมากในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ

ลักษณะทั่วไปของ "เห็ดกระถินพิมาน" จะมีลำต้นเป็นสีน้ำตาล มีหนามใบเล็กละเอียดออกตามก้านใบสลับตรงกันข้าม ใบของ "เห็ดกระถินพิมาน" จะเป็นใบประกอบแบบขนนก ออกดอกเป็นพู่สีขาวอมม่วง ปลายเป็นขนสีเหลืองส่งกลิ่นหอม ฝักแบนโค้งสีน้ำตาล ส่วนดอกเห็ดจะมีลักษณะแข็งเหมือนเนื้อไม้ ไม่มีก้าน และเจริญออกมาจากลำต้นไม้ในลักษณะเป็นก้อนครึ่งวงกลม

ทั้งนี้ ตามตำรับยาสมุนไพร ระบุไว้ว่า ส่วน "ราก" และ "ต้น" ของ "เห็ดกระถินพิมาน" สามารถนำไปใช้ทำยาได้หลากหลายอาการ คือ ส่วนราก ซึ่งมีรสฝาดเฝื่อน สามารถนำไปแก้พิษสัตว์กัดต่อย แก้พิษงูได้ ขณะที่ลำต้น จะใช้ "เห็ด" ซึ่งมีรสเมาเบื่อ ไปแก้ไข้พิษ ไข้กาฬ ถ้านำเห็ดไปฝนกับน้ำปูนใสหรือเหล้าแล้วนำไปหยอดหู จะแก้ปวดหู แก้พิษฝีในหูได้ นอกจากนั้น ยังสามารถนำมาทาบาดแผลที่เน่าเปื่อย น้ำเหลืองเสีย สามารถแก้เริม แก้งูสวัดได้อีกด้วย

ส่วนที่มีเสียงร่ำลือว่า "เห็ดกระถินพิมาน" สามารถรักษาโรคมะเร็งได้นั้น ดร.อานนท์ เอื้อตระกูล ผู้อำนวยการสถาบันไบโอเทคและเห็ด มหาวิทยาลัยนอร์ท-เชียงใหม่ และผู้อำนวยสถาบันอานนท์ไบโอเทค ผู้เชี่ยวชาญเห็ด องค์การค้าโลกแห่งสหประชาชาติ ปี พ.ศ.2524-2548 ซึ่งเคยประสบความสำเร็จในการเพาะ "เห็ดกระถินพิมาน" มาแล้ว ให้ข้อมูลว่า เห็ดดังกล่าวมีสรรพคุณในการยับยั้งเซลล์มะเร็งจริง เพราะมีสารโพลีแซคคาไลน์ สารไตรโตรปินอย สารเนเชอรัลสเตอรอยด์ ที่เข้าไปช่วยยับยั้งการโตของเซลล์มะเร็ง โดยเฉพาะมะเร็งต่อมลูกหมาก มะเร็งตับ มะเร็งปอด

อย่างไรก็ตาม ไม่ใช่ว่ากิน "เห็ดกระถินพิมาน" แล้วจะสามารถรักษาโรคมะเร็งได้เลย เพราะต้องนำเห็ดมาผ่านกรรมวิธีการหมักด้วยจุลินทรีย์ก่อน เพื่อให้ได้ผลดี รวมทั้งยังต้องควบคุมการรับประทานอาหารควบคู่ไปด้วย การใช้ "เห็ดกระถินพิมาน" รักษามะเร็งจึงจะสัมฤทธิ์ผล และนอกจากโรคมะเร็งแล้ว งานวิจัยก็ยังพบว่า "เห็ดกระถินพิมาน" สามารถรักษาโรคเบาหวาน สร้างเม็ดเลือด แผลพุพอง ภูมิแพ้ ไข้หวัดใหญ่ ผื่นคัน ไขข้ออักเสบ ได้เช่นกัน

ดร.อานนท์ ยังบอกด้วยว่า ในอดีต ประเทศไทยพบ "เห็ดกระถินพิมาน" ในจังหวัดสกลนคร และแถบอำเภอภูเรือ จังหวัดเลย แต่ชาวบ้านไม่รู้ว่านี่คือเห็ด นึกว่าเป็นไม้แห้ง จึงไม่ได้สนใจ และนำไปทำฟืนแทน ก่อนที่ชาวต่างชาติที่เข้ามาอยู่ในเมืองไทยจะไปพบเข้า จึงนำเห็ดดังกล่าวไปสกัดเป็นยาในต่างประเทศ แล้วส่งกลับมาขายในประเทศไทย จึงถือว่าเป็นเรื่องน่าเสียดายมาก เพราะเห็ดชนิดนี้ในต่างประเทศซื้อขายกันในราคาสูงถึงกิโลกรัมละ 3 ล้านบาทเลยทีเดียว








สมุนไพรไทย




         ผลไม้บำรุงเลือด "บำรุงสุขภาพ"




ช่วงนี้ใครรู้สึกว่าขาดเลือดอยู่ละก็วันนี้ มีผลไม้บำรุงเลือด บำรุงสุขภาพ มาฝากกันอีกด้วย ผลไม้นอกจากจะจัดเป็นสมุนไพรที่ช่วยรักษาโรคและมีคุณประโยชน์มากมายก่ายกองแล้ว ในผลไม้ยังอุดมไปด้วยวิตตามินอีกหลายชนิดที่เรายังไม่รู้ และวันนี้จะพาคุณๆ มารู้จักกับ ผลไม้บำรุงเลือด ซึ่ง ผลไม้บำรุงเลือด เหล่านี้จะมีคุณประโยชน์อย่างไรกันและมีผลไม้ชนิดใดบ้างที่ช่วยบำรุงเลือดได้เป็นอย่างดี ก็ไม่พลาดที่จะนำ ผลไม้บำรุงเลือด เหล่านี้มาบอกให้คุณๆ ผู้รักสุขภาพและชอบทานผลไม้กันให้รู้อย่างแน่นอน ว่าแล้วเราก็มาเริ่มทำความรู้จักกับ ผลไม้บำรุงเลือด บำรุงสุขภาพ กันเลยดีกว่าค่ะ

5 ผลไม้บำรุงเลือด

1. ทับทิม

ผลการวิจัยในสหรัฐพบว่า ทับทิมสามารถรักษาผู้ป่วยเบาหวานได้ด้วยคุณสมบัติช่วยกักเก็บเซลล์เม็ดเลือดแดง โดยให้ผู้ป่วยเบาหวานจำนวน 10 คนดื่มน้ำทับทิมคั้นสดวันละ 1 แก้ว (6 ออนซ์) เป็นเวลา 3 เดือน ผลคือร่างกายมีระดับอินซูลินในกระแสเลือดลดลง ระบบไหลเวียนโลหิตเป็นปกติขึ้น อาการมึนงง อ่อนเพลีย และผมร่วงลดลง อีกทั้งผิวพรรณก็สดใสขึ้นกว่าเดิม

2. แก้วมังกร

อุดมด้วยโปรตีนจึงช่วยเติมร่องรอยผิวให้ดูเรียบตึง ผลการวิจัยพบว่า แก้วมังกรเนื้อแดงดีต่อระบบไหลเวียนโลหิตและมีธาตุเหล็กอยู่ในปริมาณที่เหมาะสมสำหรับการสร้างเซลล์เม็ดเลือด นอกจากนี้ไฟเบอร์ในผลแก้วมังกรยังช่วยฟื้นฟูความแข็งแรงบริเวณช่องคลอด บรรเทาอาการตกขาวที่ผิดปกติ (มีสีเหลืองปนหนอง ปนเลือดและมีกลิ่นเหม็น)

3. สตรอว์เบอร์รี่

ด้วยคุณสมบัติของวิตามินซีที่อุดมอยู่ในผลสตรอว์เบอร์รีช่วยบำรุงเซลล์เม็ดเลือดแดง เมล็ดเล็กๆ ที่อยู่ในเนื้อสตรอว์เบอร์รีช่วยลำเลียงออกซิเจนในกระบวนการขจัดเลือดเสีย จากผลการวิจัยที่ตีพิมพ์ในวารสาร Food Chemistry พบว่า อาสาสมัครผู้บริโภคสตรอว์เบอร์รีสดทุกวันประมาณ 2 ถ้วยตวงติดต่อกันนาน 1 เดือน มีผลการตรวจเลือดพบว่าเซลล์เม็ดเลือดแดงเพิ่มขึ้นอย่างเป็นปกติมากขึ้นคือ 4, 8, 12, 16 เซลล์จึงส่งผลให้ผิวพรรณภายนอกดูเรียบเนียนเปล่งปลั่งขึ้น

4. กล้วย

ด้วยคุณสมบัติของแร่ธาตุแมกนีเซียมที่อุดมอยู่ในกล้วยช่วยบำรุงผิวที่ขาวซีดให้กลับมาเปล่งปลั่งดูมีเลือดฝาด จากผลการวิจัยที่ถูกตีพิมพ์ใน American Journal of Epidemiology เผยว่าการบริโภคกล้วยเป็นประจำทุกวันส่งผลต่อสุขภาพเลือดคือ ช่วยลดความเสี่ยงเป็นโรคลูคีเมีย (มะเร็งเม็ดเลือดขาว) โดยเฉพาะในเด็กช่วงอายุ 0-2 ปี

5. แตงโม

จากผลการวิจัยของมหาวิทยาลัยเนราดาในสหรัฐเผยว่า หากบริโภคแตงโมเพียงครึ่งผลต่อวันดีต่อระบบไหลเวียนโลหิต เพราะกรดอะมิโนอาร์จีโนน์ (Arginine) ที่ร่างกายเปลี่ยนให้เป็นสารในตริกออกไซด์ (Nitric oxide) ทำให้เลือดสมบูรณ์ขึ้นถึงร้อยละ 22 จึงช่วยป้องกันภาวะกล้ามเนื้อหัวใจตายและภาวะหลอดเลือดแข็งตัว

ไม่ใช่แค่ธาตุเหล็กและโปรตีนเพียงเท่านั้นที่จะช่วยให้อวัยวะภายในของเราผลิตเลือดได้อย่างเป็นปกติ แต่ยังมีวิธีที่ง่ายๆ อีกสองสิ่งคือ การดื่มน้ำเปล่าให้บ่อยครั้งในแต่ละวันซึ่งจะช่วยให้เลือดของเราไม่มีลักษณะข้นเหนียวจนเกินไปด้วย นอกจากนี้ยังต้องทำกายบริหารทุกวันเพื่อกระตุ้นให้เลือดไหลเวียนอยู่ตลอด เพียงเท่านี้ก็ช่วยปกป้องร่างกายของเราให้ห่างไกลปัญหาสุขภาพทั้งในระยะสั้นและระยะยาวได้แล้ว








สมุนไพรไทย




สรรพคุณ และ ประโยชน์ของกระเจี๊ยบมอญ




วันนี้ ขอแนะนำ สรรพคุณของกระเจี๊ยบมอญ และ ประโยชน์ของกระเจี๊ยบมอญ สมุนไพรไทยพื้นบ้านของเราซึ่งต้องยอมรับเลยว่ามีเยอะแยะมากมาย และที่สำคัญก็มีประโยชน์ใช้รักษาโรคได้สารพัด และวันนี้ก็นำเอาอีกหนึ่งความรู้เกี่ยวกับสมุนไพรไทยพื้นบ้านมาฝากกันกับ สรรพคุณของกระเจี๊ยบมอญ และ ประโยชน์ของกระเจี๊ยบมอญ มาฝากกันค่ะ หลายๆ คนอาจจะรู้จักกระเจี๊ยบมอญในนามของพืชผักสีเขียวทีนำมากินแกล้มกับน้ำพริก แต่จะบอกว่ากระเจี๊ยบมอญไม่ได้มีประโยชน์ในนามของผักสีเขียวเท่านั้น เชื่อว่าคงมีอีกหลายๆ คนที่อยากจะรู้แล้วว่า สรรพคุณของกระเจี๊ยบมอญ และ ประโยชน์ของกระเจี๊ยบมอญ นี้มีอะไรบ้าง และมี สรรพคุณของกระเจี๊ยบมอญ และ ประโยชน์ของกระเจี๊ยบมอญ จะมีมากขนาดไหนไม่ให้คุณสงสัยนานหรอกนะค่ะ ถ้าพร้อมแล้ววันนี้ไปทำความรู้จักกับ สรรพคุณของกระเจี๊ยบมอญ และ ประโยชน์ของกระเจี๊ยบมอญ อีกหนึ่งสมุนไพรไทยพื้นบ้านอีกหนึ่งชนิดที่น่ารู้กันเลยดีกว่านะค่ะ รับรองว่ามีมากมายจนคุณนึกไม่ถึงแน่นอนค่ะ

สรรพคุณ / ประโยชน์ของกระเจี๊ยบมอญ

- กระเจี๊ยบมอญ หรือ กระเจี๊ยบเขียว ที่มีลักษณะเป็นฝักทรงกระบอกห้าเหลี่ยมมีปลายเรียว นิยมนำมากินแกล้มกับน้ำพริกอาหารหลักของคนไทย ซึ่งนอกจากความอร่อยแล้วกระเจี๊ยบมอญฝักเล็กๆ นั้นยังเป็นสมุนไพรที่แฝงไปด้วยประโยชน์ในการช่วยบำรุงดูแลสุขภาพของเราด้วย

- เนื่องจากฝักของกระเจี๊ยบมอญนั้นมีเส้นใยจำนวนมากที่มีประโยชน์ช่วยในการรักษาระดับการดูดซึมน้ำตาลจากลำไส้ใหญ่ส่งผลให้ระดับน้ำตาลในเลือดคงที่จึงเหมาะอย่างยิ่งสำหรับผู้ป่วยโรคเบาหวาน


- นอกจากนี้หากนำฝักของกระเจี๊ยบมอญไปตากแห้งแล้วนำมาบดให้ละเอียดกินครั้งละ 1 ช้อนโต๊ะ หลังอาหารแล้วดื่มน้ำตามก็จะช่วยลดอาการของแผลในกระเพาะอาหารได้อีกด้วย







สมุนไพรไทย



       สรรพคุณ และ ประโยชน์ของใบบัวบก




วันนี้ ขอนำ สรรพคุณของใบบัวบกและ ประโยชน์ของใบบัวบก มาบอกเล่าสู่กันฟังค่ะ เมื่อพูดถึงใบบัวบกแล้วทุกคนมักจะนึกถึงคนอกหักใช่ไหมล่ะค่ะ เพราะเป็นที่พูดขบขันถึงการแก้ช้ำในเพราะความรัก แต่ สรรพคุณของใบบัวบก และ ประโยชน์ของใบบัวบก ในทางระบบร่างกายนั้นสามารถนำมาใช้รักษาอาการช้ำใน ร้อนใน แก้กระหายน้ำได้จริงๆ แต่ทว่า สรรพคุณของใบบัวบก และ ประโยชน์ของใบบัวบก นั้นมีมากกว่านี้อีกนะค่ะ และวันนี้ก็นำเรื่อง สรรพคุณของใบบัวบก และ ประโยชน์ของใบบัวบก มาบอกเล่าเพิ่มเติมให้ได้รู้กันอีกด้วยค่ะ ฉะนั้นไม่รอช้ามาดู สรรพคุณของใบบัวบก และ ประโยชน์ของใบบัวบก ไปพร้อม กันเลยนะค่ะ

ในขณะที่อีกมุมหนึ่งของบัวบกที่น้อยคนนักจะรู้จักนั่นคือ สรรพคุณในการบำรุงสมองไม่แพ้แปะก๊วยอันเป็นที่นิยมในกระแสโลก และมีการรณรงค์ให้ปลูกแปะก๊วยกันอย่างแพร่หลายซึ่งผู้เฒ่าผู้แก่รวมทั้งหมอ ยาในทุกภาคของไทยได้สืบทอดความรู้เรื่องบัวบกจากรุ่นสู่รุ่นและนำมาใช้ในการบำรุงร่างกาย บำรุงประสาท บำรุงความจำ บำรุงสายตา บำรุงผม บำรุงเอ็น เป็นยาอายุวัฒนะ ใช้ได้ทุกเพศทุกวัยทั้งเด็ก ผู้ใหญ่และคนชรา นอกจากนี้ยังเป็นที่รู้กันดีอีกว่า ชนิดของบัวบกที่มีสรรพคุณที่ดีที่สุดคือ ผักหนอกขม ซึ่งขึ้นตามธรรมชาติพบเห็นโดยทั่วไป

สรรพคุณ / ประโยชน์ของใบบัวบก

ในตำราไทยกล่าวว่า บัวบกมีรสเฝื่อน ขม เย็น เป็นยาขับปัสสาวะ แก้ท้องเสียหรือบิด แก้ลม แก้อ่อนเพลีย เมื่อยล้า เป็นยาบำรุงกำลัง ยาอายุวัฒนะ นอกจากนี้ยังมีผู้รจนาสรรพคุณของบัวบกว่า "กิน 1 เดือน โรคร้ายหายสิ้นมีปัญญา กิน 2 เดือน บริบูรณ์น่ารักมีเสน่ห์ กิน 3 เดือน ริดสีดวงสิบจำพวกหายสิ้น กิน 4 เดือน ลมสิบจำพวกหายสิ้น กิน 5 เดือน โรคร้ายในกายทุเลา กิน 6 เดือน ไม่รู้จักเมื่อยขบ กิน 7 เดือน ผิวกายจะสวยงาม กิน 8 เดือน ร่างกายสมบูรณ์เสียงเพราะ.."

จากงานศึกษาวิจัยพบว่า บัวบกมีฤทธิ์เช่นเดียวกับแปะก๊วยในการบำรุงสมอง กล่าวคือ เพิ่มความสามารถความจำและการเรียนรู้ มีการจดสิทธิบัตรสารสกัดในบัวบกด้านคุณสมบัติช่วยเพิ่มความสามารถในการจำ นอกจากนี้ยังมีการทดลองในสัตว์ด้วย ซึ่งพบว่า บัวบกทำให้ลูกหนูมีความจำและความสามารถในการเรียนรู้ดีขึ้น ทำให้เซลล์สมองของหนูแรกเกิดในส่วนที่เกี่ยวข้องกับความฉลาด ส่วน hippocampal CA3 และแขนงนำสัญญาณประสาทของสมองส่วนที่เรียกว่า อมิกดาลา (amygdala) ซึ่งทำหน้าที่สำคัญในการควบคุมเหตุผลและอารมณ์ มีการพัฒนาการที่ดีกว่าหนูในกลุ่มควบคุม ทำให้ปฏิภาณไหวพริบในการหลบหลีกสิ่งกีดขวางของหนูดีขึ้น ตลอดจนยังเพิ่มสมาธิและความสามารถในการตัดสินใจเฉพาะหน้าในหนูได้อีกด้วย

ส่วนการศึกษาในมนุษย์พบว่า เด็กปัญญาอ่อนที่กินบัวบกวันละ 500 มิลลิกรัมติดต่อกันสามเดือนมีความสามารถเรียนรู้ได้ดีกว่ากลุ่มควบคุม ส่วนการศึกษาในระดับเซลล์ถึงกลไกการออกฤทธิ์บำรุงสมองพบว่า บัวบกทำให้การหายใจในระดับเซลล์ของสมองดีขึ้น ต้านอนุมูลอิสระ ต้านการเสื่อมของเซลล์สมอง คงสภาพปริมาณของสารสื่อประสาท acetylcholine ซึ่งจำเป็นต่อการทำงานของสมอง เสริมฤทธิ์การทำงานของสาร GABA ซึ่งเป็นสารสื่อประสาททำหน้าที่รักษาสมดุลของจิตใจทำให้ผ่อนคลายและหลับได้ง่าย นอกจากนี้บัวบกยังทำให้หลอดเลือดมีความแข็งแรงและสามารถนำเลือดไปเลี้ยงในอวัยวะต่างๆ ได้ดีขึ้น เป็นต้น


จากผลการศึกษาวิจัยดังกล่าว ทำให้บัวบกมีแนวโน้มจะใช้เป็นอาหารเพิ่มไอคิว เพิ่มความฉลาด เพิ่มความสามารถในการจำและการเรียนรู้ในเด็ก โดยเฉพาะในเด็กปัญญาอ่อนรวมไปถึงการใช้ในเด็กสมาธิสั้น เนื่องจากบัวบกทำให้สารในสมองมีความสมดุล คือ มีความสงบผ่อนคลาย และการเพิ่มเลือดไปเลี้ยงสมองทำให้เกิดความสามารถในเรียนรู้ได้ดีขึ้น ส่วนในคนทั่วไปบัวบกจะช่วยชะลออาการของโรคสมองเสื่อมในวัยชราหรืออัลไซเมอร์รวมทั้งช่วยคลายเครียด ทำให้มีสมาธิในการทำงานอีกด้วย








สมุนไพรไทย



สมุนไพรแก้ปวดประจำเดือน "ตัวช่วยให้หายปวดท้อง"




วันนี้มีสมุนไพรแก้ปวดประจำเดือนมาฝากกันค่ะ ซึ่ง สมุนไพรแก้ปวดประจำเดือน นี้เป็นสมุนไพรใกล้ตัวสาวๆ อย่างที่เราไม่ควรพลาดเลยนะค่ะ อาการปวดท้องประจำเดือนคืออีกหนึ่งปัญหาที่สุดแสนจะทรมานสำหรับสาวๆ จำนวนมากเลยทีเดียวนะค่ะ ถ้าใครที่เคยมีอาการปวดท้องประจำเดือนจะรู้ทันทีเลยว่าอาการเหล่านี้มันทรมานขนาดไหน แล้วทุกๆ เดือนของสาวๆ อย่างเราๆ จะต้องมาทนทรมานกับการปวดท้องคงจะไม่ไหวแน่ๆ วันนี้ก็เลยนำเอา สมุนไพรแก้ปวดประจำเดือน มาแนะนำให้คุณสาวๆ ได้รู้กันค่ะ สมุนไพรแก้ปวดประจำเดือน เป็นสมุนไพรที่ไม่เป็นอันตรายและแถมยังไม่แพงมากมายและหาซึ่งได้ง่ายๆ เพราะ สมุนไพรแก้ปวดประจำเดือน นั้นมีใกล้ตัวเราอีกด้วยนะค่ะ รับรองว่า สมุนไพรแก้ปวดประจำเดือน นี้จะช่วยบรรเทาอาการปวดประจำเดือนของคุณสาวๆ ได้เป็นอย่างดีแน่นอนค่ะ ถ้าอย่างนั้นอย่าร้อช้ารีบๆ ไปรู้จัก สมุนไพรแก้ปวดประจำเดือน ไปพร้อมๆ  กันเลยดีกว่านะค่ะ

3 สมุนไพรแก้ปวดประจำเดือน

1. ตังกุย

มีผลช่วยในการดูแลสุขภาพของมดลูกผู้หญิงเราโดยตรงทีเดียว เพราะอุดมไปด้วยวิตามินบี 12 และมีกรดโฟลิกสูงซึ่งช่วยบำรุงเลือดได้อย่างดี ถ้าหากทานเป็นประจำจะช่วยลดอาการปวดท้อง ช่วยให้ประจำเดือนมาเป็นปกติ และช่วยปรับสมดุลของฮอร์โมนของผู้หญิงได้อีกด้วย

2. ใบตำลึง

มีแมกนีเซียมและธาตุเหล็กที่ช่วยไม่ปวดเกร็งกล้ามเนื้อหรือลดอาการตะคริว จึงมีส่วนช่วยในการลดอาการปวดเกร็งช่วงท้องได้ด้วย นอกจากนี้แมกนีเซียมยังพบได้อีกในเนื้อสัตว์ และตับหมู

3. น้ำมันอีฟนิ่งพริมโรส

ในน้ำมันอีฟนิ่งพริมโรสจะมีกรดไขมันที่ชื่อว่า กรดแกมม่า ไลโนเลนิก ซึ่งมีคุณสมบัติลดหรือต้านการอักเสบ ช่วยรักษาระดับฮอร์โมนในร่างกายของผู้หญิง แถมยังช่วยลดอาการปวดเกร็งท้อง ลดการปวดหน้าอก และอาการตัวบวมช่วงก่อนหรือช่วงมีประจำเดือนได้






สมุนไพรไทย



ประโยชน์ และ สรรพคุณของชาเขียว






เชื่อว่า ชาเขียวมักจะเป็นเครื่องดื่มที่คุณผู้หญิงๆ หลายๆ ท่านนั้นให้ความสนใจกันอยู่มิใช่น้อย วันนี้ เลยขอเก็บตก สรรพคุณของชาเขียว และ ประโยชน์ของชาเขียว มาฝากคุณผู้หญิงกันทุกคนค่ะ เป็นที่รู้จักกันดีในหมู่ของคุณผู้หญิงว่า สรรพคุณของชาเขียว และ ประโยชน์ของชาเขียว นั้นช่วยลดความอ้วนได้เป็นอย่างดี อีกทั้งชาเขียวยังได้รับการโปรโมทจากสื่อโฆษณามากมายอันยิ่งทำให้มั่นใจได้ว่าคงจะไม่มีใครไม่รู้จักชาเขียวกันใช่ไหมล่ะค่ะ นอกจากชาเขียวจะมี สรรพคุณของชาเขียว และ ประโยชน์ของชาเขียว มากมายแล้ว ด้านคุณสมบัติของชาเขียวนั้นก็จะมี กลิ่นหอม ทำให้ชุ่มคอ หากอยากลดน้ำหนักก็ห้ามใส่น้ำตาลละนะค่ะดื่มร้อนจะดีที่สุดค่ะ  เชื่อว่า คุณผู้หญิงทุกคนคงจะพอรู้จักกับเจ้าชาเขียวกันมามากพอแล้ว แต่คุณผู้หญิงทราบถึง สรรพคุณของชาเขียว และ ประโยชน์ของชาเขียว กันมากพอรึยังเอ่ย หากว่าคุณผู้หญิงอยากที่จะรู้เพิ่มเติมใน สรรพคุณของชาเขียว และ ประโยชน์ของชาเขียว วันนี้ก็มี สรรพคุณของชาเขียว และ ประโยชน์ของชาเขียว มาฝากให้ได้รับความรู้เพิ่มเติมมากยิ่งขึ้นอีกด้วยค่ะ นั้นเรามาดู สรรพคุณของชาเขียว และ ประโยชน์ของชาเขียว กันเลยดีกว่าค่ะ
ชาเขียว เป็นเครื่องดื่มที่มีสรรพคุณเป็นยาไปในตัวด้วยโดยสามารถช่วยล้างพิษออกจากร่างกายได้ลึกถึงระดับเซลล์ อุดมไปด้วยสารแคซิทิน (Catecihns) ซึ่งเป็นสารแทนนินชนิดหนึ่งมีฤทธิ์เป็นสารต้านการเกิดมะเร็งและสามารถยับยั้งการสร้างไนโตรซามีน ซึ่งเป็นสารก่อมะเร็งรุนแรงที่มีในเนื้อสัตว์และอาหารทะเล นอกจากนี้ยังมีแร่ธาตุฟูลออไรด์สูงเป็นส่วนในการเสริมสร้างกระดูกและฟันให้แข็งแรง การดื่มชาตอนเช้าช่วยในการป้องกันฟันผุได้ แต่ถึงอย่างไรก็ตามสาวๆ ควรจะดื่มในปริมาณที่พอดีไม่มากเกินไปจนส่งผลไม่ดีต่อร่างกาย

ประโยชน์ / สรรพคุณของชาเขียว

สรรพคุณของชาเขียว

- มีสารต้านอนุมูลอิสระ ที่มีประสิทธิภาพสูงในการทำลายอนุมูลอิสระมากกว่าวิตามินซีถึง 100 เท่า แต่ยังมีประสิทธิภาพสูงกว่าวิตามินอีถึง 25 เท่า ช่วยให้ผิวพรรณเปล่งปลั่ง สดใส ลดริ้วรอยก่อนวัยชะลอความชราและคงความเยาว์วัยได้ แบบนี้สาวๆ ต้องรีบหามาดื่มกันบ้างแล้วล่ะค่ะ

- สารแคเทชินในชาเขียวสามารถลดระดับคอเลสเตอรอล และกำจัดปริมาณของคอเรสเตอรอลในลำไส้ และช่วยควบคุมน้ำตาลในเลือดให้อยู่ในระดับที่พอดีอีกด้วย

- สามารถเร่งอัตราการเผาผลาญอาหารและไขมัน เพราะชาเขียวช่วยให้แบคทีเรียที่มีประโยชน์ในลำไส้มีประสิทธิภาพในการทำงานดีขึ้น จึงสามารถควบคุมน้ำหนัก จึงเหมาะกับสาวๆ ผู้คิดจะลดหุ่น

- สร้างลมหายใจให้สดชื่น เพราะสามารถยับยั้งการเจริญเติบโตของแบคทีเรียและทำลายจุลินทรีย์ที่เป็นสาเหตุของโรคเหงือกและฟันต่างๆ ะสามารถยับยั้งเชื้อแบคทีเรียซึ่งทำให้ฟันผุได้ถึง 95%

- ช่วยลดระดับ LDL คลอเรสเตอรอล และยับยั้งการก่อตัวแบบผิดปกติของก้อนเลือดซึ่งเป็นเหตุของอาการหัวใจวายและลมชัก

- ช่วยเพิ่มความยืดหยุ่น ของกล้ามเนื้อหัวใจและขยายผนังหลอดเลือด จึงทำให้ชาเขียวเหมาะสำหรับผู้ที่มีความดันโลหิตสูงด้วย


ประโยชน์ของชาเขียว

- สูตรน้ำแร่ชาเขียว

สร้างความสดชื่นให้กับใบหน้าเหมาะกับสาวๆ เมืองร้อนอย่างบ้านเราเลยค่ะ แค่นำน้ำแร่มาต้มให้เดือดใส่ชาเขียวแบบผงหรือใบชาลงไปอาจเพิ่มใบสะระแหน่สักนิดแล้วทิ้งไว้ให้เย็น นำไปแช่ในตู้เย็นกรองเอาแต่น้ำแล้วเทใส่ขวดสเปรย์ นำมาฉีดบริเวณใบหน้าและลำคอเพิ่มความชุ่มชื่นสดใสไปตลอดวัน

- สูตรถนอมผิวรอบดวงตาด้วยชาเขียว

ต้มชาเขียวกับน้ำเดือดแล้วนำไปแช่ตู้เย็นให้เย็นจัด จากนั้นใช้สำลีชุบชาเขียวให้เปียกชุ่มนำมาวางบริเวณเปลือกตาทิ้งไว้ประมาณครึ่งชั่วโมง จะช่วยลดริ้วรอยของผิวรอบดวงตาและยังช่วยลดการบวมของเปลือกตาและถุงใต้ตา ผิวจะ นุ่มนวลและดูสดอ่อนเยาว์ขึ้น

- สูตรลดน้ำหนัก

ดื่มชาเขียว วันละ 3 แก้ว จะช่วยเร่งระบบการเผาผลาญพลังงานและไขมันของร่างกายได้







สมุนไพรไทย



สรรพคุณ และ ประโยชน์ของลูกพรุน






สรรพคุณของลูกพรุน และ ประโยชน์ของลูกพรุน นั้นมีมากมายอย่างเหลือล้น วันนี้จึงขอนำบทความ สรรพคุณของลูกพรุน และ ประโยชน์ของลูกพรุน มาบอกเล่าให้คนรักสุขภาพทั้งหลายเช่นคุณได้รู้กันค่ะ แล้วยิ่งช่วงเวลานี้ด้วยแล้วมีคนให้ความสนใจในผลไม้อย่างลูกพรุนเป็นจำนวนมาก และอีกชื่อหนึ่งของลูกพรุนก็คือลูกพลัมและไม่ว่าจะเป็น สรรพคุณของลูกพรุน และ ประโยชน์ของลูกพรุน หรือ สรรพคุณของลูกพลัม และ ประโยชน์ของลูกพลัม ที่คุณกำลังมองหาข้อมูลด้านสุขภาพอยู่ล่ะก็ วันนี้ได้จัดเตรียมบทความ สรรพคุณของลูกพรุน และ ประโยชน์ของลูกพรุน หรือ สรรพคุณของลูกพลัม และ ประโยชน์ของลูกพลัม มาบอกกันแล้วค่ะ ลูกพรุน หรือ ลูกพลัม นั้นคนส่วนใหญ่มักน้ำมาแปรรูปที่หลากหลายและที่เป็นนิยมอย่างมาก และ ณ ปัจจุบันคนให้ความสนใจที่จะดื่มน้ำลูกพรุนเช่นเดียวกัน เพราะด้วย สรรพคุณของลูกพรุน และ ประโยชน์ของลูกพรุน หรือ สรรพคุณของลูกพลัม และ ประโยชน์ของลูกพลัม ที่มีมากมายนั่นเองค่ะ นั้นอย่ารอช้ามาดูบทความ สรรพคุณของลูกพรุน และ ประโยชน์ของลูกพรุน หรือ สรรพคุณของลูกพลัม และ ประโยชน์ของลูกพลัม  นำมาฝากกันเลยดีกว่าค่ะ

สรรพคุณ / ประโยชน์ของลูกพรุน


- แล้วอะไรอยู่ในลูกพรุนบ้าง ในลูกพรุนจะประกอบไปด้วยสารอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกายดังนี้ เหล็ก (Iron) เป็นส่วนประกอบที่ใช้ในการสังเคราะห์ฮีโมโกลบินในเม็ดเลือดแดงซึ่งเป็นที่รู้จักกันดีว่าผู้หญิงเรานั้นในแต่ละเดือนต้องสูญเสียเลือดประจำเดือนไปเท่าไร ธาตุเหล็กจึงมีความสำคัญเป็นอันดับต้นๆ ที่ขาดไม่ได้ ใครอยากมีเลือดฝาดอย่ามองข้ามลูกพรุน

- วิตามิน B2 (Riboflavin) ช่วยในการสร้างเม็ดเลือดแดง กระบวนการสร้างช่วยในการเจริญเติบโตของเซลล์ โดยเฉพาะกับผิวหนัง เล็บและผม

- แคลเซียม (Calcium) ช่วยเสริมสร้างกระดูกและฟัน รักษาระดับการเต้นของหัวใจ ช่วยระบบประสาทให้เป็นปกติ

- วิตามิน C (Ascorbic Acid) สารต้านอนุมูลอิสระ (Anti-oxidant) เป็นส่วนประกอบพิเศษที่ช่วยป้องกันเซลล์จากการถูกทำลาย เมื่อเซลล์ถูกทำลายโอกาสการเป็นมะเร็งก็มีสูงขึ้น วิตามิน C มีคุณสมบัติเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ดังนั้นการที่ลูกพรุนมี Anti-oxidant ในปริมาณสูงจะช่วยทำให้ร่างกายและสมองแก่ตัวช้าลงและมีอัตราการเกิดโรคมะเร็งน้อยลงมีส่วนช่วยในกระบวนการสังเคราะห์เม็ดเลือดแดงช่วยให้ร่างกายต่อต้านแบคทีเรียได้ดียิ่งขึ้น

- วิตามิน E เป็น Anti-oxidant ช่วยป้องกันการเกิดปฏิกิริยาของออกซิเจนที่ไม่สมบูรณ์ภายในร่างกาย ช่วยการไหลเวียนของโลหิต ช่วยยืดอายุของเม็ดเลือดแดงทำให้ผิวพรรณเนียนนุ่มชุ่มชื่น ไม่เหี่ยวย่นก่อนวัยอันควร

- ลูกพรุนนั้นอุดมไปด้วยกากใยหรือไฟเบอร์สูงมาก มีคุณสมบัติเป็นยาระบาย บรรเทาอาการท้องผูกได้อย่างปลอดภัยทั้งเด็กและผู้ใหญ่ เป็นประโยชน์ทำให้ขับถ่ายได้คล่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งชีวิตปัจจุบันที่ฝากไว้กับอาหารถุง ซึ่งแทบจะไม่มีอะไรที่เป็นกากใยเลย ลูกพรุนเป็นคำตอบที่ไม่น่ามองข้ามนะคะ

สูตรน้ำลูกพรุนแบบง่ายๆ

ส่วนผสม

- ลูกพรุนแห้ง 2 ผล
- น้ำตาลทราย พอสมควร
- เกลือป่น เล็กน้อย
- น้ำสะอาด 2 ลิตร
- น้ำแข็งทุบ พอสมควร

วิธีทำ

1. นำลูกพรุนแห้งและน้ำตั้งไฟปานกลางจนเดือดสักครู่น้ำจะเป็นสีน้ำตาลอ่อน
2. ใส่น้ำตาลทรายและเกลือป่นเล็กน้อยชิมอย่าให้รสหวานมากเกินไป ถ้าใส่เกลือให้ใช้เพียงเล็กน้อยประมาณ 1 หยิบมือเท่านั้น (เพราะปกติการต้มน้ำผลไม้ตากแห้งมักไม่ใส่เเกลือ)
3. ยกลงจากเตาทิ้งไว้จนเย็นเวลาดื่มขณะอุ่นรสชาติเหมือนน้ำชาจีน






สมุนไพรไทย



    สรรพคุณ และ ประโยชน์ของชาสมุนไพร





ชาเเป็นอีกหนึ่งเครื่องดื่มที่ได้รับความสนใจจากผู้คนจำนวนไม่น้อยโดยเฉพาะชาสมุนไพร เพราะฉะนั้นวันนี้เราก็เลยได้นำเอาสรรพคุณของชาสมุนไพรและประโยชน์ของชาสมุนไพรมาบอกให้ได้รู้กันเพื่อสุขภาพที่ดีค่ะ แค่ได้ยินว่าสมุนไพรหลายๆ คนก็คงจะนึกถึงสาระพัดประโยชน์ดีๆ ต่างๆ มากมายนับไม่ถ้วนจากที่เคยได้ยินมาและยิ่งนำมารวมกับชาที่หลายๆ คนก็รู้ว่าเป็นเครื่องดื่มที่มีประโยชน์พอสมควรแล้วหล่ะก็ สรรพคุณของชาสมุนไพรและประโยชน์ของชาสมุนไพรจึงมีมากมายจนเชื่อว่าหลายๆ คนนึกไม่ถึงเลยทีเดียวเชียว เพราะอย่างนั้นไงค่ะเราถึงได้หยิบยกเอาเกร็ดเล็กๆ น้อยๆ ที่หลายๆ คนควรรู้เกี่ยวกับ สรรพคุณของชาสมุนไพรและประโยชน์ของชาสมุนไพรมาบอกให้ได้รู้กันค่ะ โดยเฉพาะใครที่เป็นคนรักและใส่ใจในสุขภาพด้วยแล้วเกร็ดเรื่องดีๆ เกี่ยวกับสรรพคุณของชาสมุนไพรและประโยชน์ของชาสมุนไพรคงเป็นอีกหนึ่งเรื่องน่ารู้ดีๆ ที่คุณผู้รักสุขภาพไม่ควรมองข้ามอย่างเด็ดขาด ถ้าอย่างนั้นเราก็เข้าไปดูสรรพคุณของชาสมุนไพรและประโยชน์ของชาสมุนไพรกันเลยดีกว่าค่ะ


สรรพคุณ / ประโยชน์ของชาสมุนไพร

- ชาเปปเปอร์มินต์

เพียงแค่กลิ่นหอมๆ เย็นชื่นใจของชามินต์ก็ช่วยลดความเครียดจากการทำงานได้แล้ว ขณะเดียวกันมันช่วยบรรเทาอาการปวดศีรษะ ทำให้นอนหลับง่าย แถมยังทำให้ระบบขับถ่ายทำงานอย่างปกติ เนื่องจากมินต์มีส่วนช่วยให้ไขมันในระบบย่อยอาหารสลายตัว ป้องกันไม่ให้เกิดแก๊สในทางเดินอาหาร และด้วยความที่มันดีต่อกระเพาะของเรา มันจึงเหมาะสำหรับคนที่เมารถเมาเรือ นอกจากนี้มันมีฤทธิ์ต้านแบคทีเรียอ่อนๆ จึงช่วยระงับกลิ่นปากได้เป็นอย่างดีอีกด้วย


- ชาตะไคร้

เราใช้ตะไคร้ในการทำกับข้าวมานานแล้วและชาตะไคร้นั้นก็เป็นหนึ่งในตำรับโบราณที่ใช้รักษาอาการแน่นหน้าอก ไอ หรือหวัด หากเหยาะพริกไทยลงไปสักนิดอาจช่วยลดอาการปวดท้องประจำเดือนและคลื่นเหียน แถมเคยมีการศึกษาชี้ว่าการดื่มชาตะไคร้ทุกวันจะช่วยรักษาผิวหนังให้ปราศจากสิวด้วย แต่มีข้อควรระวังคือ ห้ามดื่มในระหว่างตั้งครรภ์เด็ดขาดและไม่ควรดื่มติดต่อกันเป็นเวลานาน


- ชาโสม

ไม่ว่าจะเป็นโสมเอเชียหรือโสมอเมริกาต่างก็มีสารอาหารมากมาย ได้แก่ ฟลาโวนอยด์ และวิตามินบีชนิดต่างๆ ซึ่งทาง University of Maryland Medical Center ชี้ว่าโสมเป็นสมุนไพรที่เชื่อกันว่า จะช่วยให้เราสู้กับความเครียดทั้งทางร่างกายและจิตใจ ช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือด จึงเหมาะกับผู้ป่วยโรคเบาหวานประเภทสอง เพิ่มเซลล์ภูมิคุ้มกันลดคอเลสเตอรอลเลว (LDL) และสาร Ginsenosides ซึ่งพบในโสมนั้นยังมีคุณสมบัติ ช่วยชะลอการเติบโตของเซลล์มะเร็งด้วย

- ชาผลกุหลาบ

หลายคนอาจจะรู้จักผลกุหลาบในชื่อของโรสฮิปซึ่งมักจะใช้เป็นน้ำมันหอมระเหย แต่ชาผลกุหลาบก็มีสรรพคุณดีๆ มากมาย เริ่มตั้งแต่อุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระอย่างวิตามินซีซึ่งสำคัญต่อการสมานแผล เสริมสร้างกระดูกที่แข็งแรงและเซลล์ภูมิคุ้มกัน ด้วยเหตุเดียวกันนี้มันจึงช่วยลดอาการข้ออักเสบด้วย ท้ายสุดนี้การศึกษาที่ตีพิมพ์ในวารสาร Planta Medica ในปี 1992 ยังชี้ว่าชาผลกุหลาบอาจช่วยป้องกันนิ่วในไตได้ แม้ว่าจะไม่ได้มีฤทธิ์ขับปัสสาวะก็ตาม


- ชาใบหม่อน

มีอีกชื่อเก๋ๆ ว่า ชามัลเบอร์รี่ ชาใบหม่อนก็เป็นที่รู้จักกว้างขวางในฐานะเครื่องดื่มบำรุงสุขภาพจากญี่ปุ่นที่อาจจะช่วยป้องกันโรคเบาหวานได้ เนื่องจากเชื่อกันว่ามันสามารถลดการดูดซึมน้ำตาลโดยใบหม่อนนั้นมีทั้งแมกนีเซียม ฟอสฟอรัส โพแทสเซียม และแคลเซียม จึงช่วยบำรุงร่างกายเราได้ในแง่ของกระดูก ผมเล็บ แถมยังมีสารต้านอนุมูลอิสระที่เป็นกุญแจสำคัญให้ระบบภูมิคุ้มกันแข็งแรงขึ้นอีกด้วย


Tip

อย่าเพิ่งทิ้งถุงชาให้นำถุงชาที่ใช้แล้วแช่น้ำและนำไปแช่แข็งแล้วนำมาประคบเวลาแมลงกัดต่อยหรือมีแผลเล็กๆ และยังช่วยบรรเทาความเหนื่อยล้าที่ดวงตาได้ดีนัก







สมุนไพรไทย




     สรรพคุณ และ ประโยชน์ของมะตูม




เชื่อไหมค่ะว่าสรรพคุณของมะตูมและประโยชน์ของมะตูมนี้มีมากมายจนหลายๆ คนนึกไม่ถึงเลยทีเดียวค่ะ มะตูมเป็นอีกหนึ่งสมุนไพรไทยที่หลายๆ คนคงจะรู้จักกันเป็นอย่างดี แต่จะมีสักกี่คนที่รู้ว่า สรรพคุณของมะตูม และ ประโยชน์ของมะตูม นั้นมีมากมายเพียงใด เชื่อว่าหลายๆ คนคงจะเคยกินน้ำมัตูมกันมาบ้างอย่างแน่นอน เพราะน้ำมะตูนนั้นจะมีกลิ่นหอม ดื่มแล้วจะทำให้ชุมคอแก้กระหายได้เป็นอย่างดี และนอกจากนั้นมะตูมยังเป็นอีกหนึ่งสมุนไพรไทยที่เป็นภูมิปัญญาชาวบ้านดั้งเดิมที่ไม่เคยจางหาย แต่ทว่า สรรพคุณของมะตูม และ ประโยชน์ของมะตูม ยังคงไม่หมดแต่เพียงเท่านั้นนะค่ะ ถ้าอย่างนั้นวันนี้เราไปดู สรรพคุณของมะตูม และ ประโยชน์ของมะตูม กันเลยดีกว่านะค่ะว่าจะมีมากมายสักแค่ไหน เพียงแค่คุณรู้วิธีและนำมาใช้ให้เกิดประโยชน์รับรองว่าคุณจะมองเห็นสรรพคุณต่างๆ มากมายของสมุนไพรไทยใกล้ตัวจนอาจจะไม่ต้องเสียค่ายารักษาที่แพงๆ เลยก็ได้และแถมไม่มีพิษภัยตกค้างกับร่างกายเราอีกด้วย ว่าาแล้วเราก็มาดู สรรพคุณของมะตูม และ ประโยชน์ของมะตูม กันเลยดีกว่าค่ะ

สรรพคุณ / ประโยชน์ของมะตูม

ผลโตเต็มที่ - ฝานเป็นชิ้นบางๆ ตากแห้งคั่วให้เหลือง ชงรับประทาน แก้ท้องเดิน ท้องเสีย ท้องร่วง โรคลำไส้เรื้อรังในเด็ก

ผลแก่จัดแต่ยังไม่สุก - น้ำมาเชื่อมรับประทานต่างขนมหวาน จะมีกลิ่นหอม และรสชวนรับประทาน บำรุงกำลัง รักษาธาตุ ขับลม

ผลสุก - รับประทานต่างผลไม้ เป็นยาระบายท้อง และยาประจำธาตุของผู้สูงอายุ ที่ท้องผูกเป็นประจำ

ใบ - ใส่แกงบวช เพื่อแต่งกลิ่น

ราก - แก้หืด หอบ แก้ไอ แก้ไข้ ขับลม แก้มุตกิต


วิธีและปริมาณที่ใช้

ใช้ผลโตเต็มที่ ฝานตากแห้ง คั่วให้เหลือง ชงน้ำดื่ม ใช้ 2-3 ชิ้น ชงน้ำเดือดความแรง 1 ใน 10 ดื่มแทนน้ำชา หรือชงด้วยน้ำเดือด 2 ถ้วยแก้ว ดื่มครั้งละครึ่งถ้วยแก้ว







สมุนไพรไทย



สรรพคุณ และ ประโยชน์ของลูกเดือย





วันนี้เราได้นำเอาเกร็ดน่ารู้ดีๆ เพื่อคนรักสุขภาพมาฝากกันค่ะกับสรรพคุณของลูกเดือยและประโยชน์ของลูกเดือย หลายๆ คนคงจะรู้จักลูกเดือยดีว่ามีลักษณะเป็นเม็ดกลมๆ เล็กๆ และเชื่อว่าหลายๆ คนก็คงจะเคยกินและบางคนก็ถึงกับชอบกินลูกเดือยแน่นอน แต่คุณรู้ไหมค่ะว่าลูกเดือยที่เรารู้จักกันนี้มีประโยชน์มากมายแค่ไหน ถ้าอย่างงั้นวันนี้เราเข้าไปรู้จักกับ สรรพคุณของลูกเดือย และ ประโยชน์ของลูกเดือย กันค่ะ ว่ากันว่า ประโยชน์ของลูกเดือย และ สรรพคุณของลูกเดือย สามารถบำบัดโรคได้เยอะมาก และที่สำคัญชาวจีนต่างยกให้ลูกเดือยนี้เป็นยาอายุวัฒนะอีกชนิดหนึ่งด้วยแหละ แต่ว่า ประโยชน์ของลูกเดือย และ สรรพคุณของลูกเดือย ยังไม่หมดแค่นี้นะค่ะ ถ้าไงแล้ววันนี้เราเข้าไปรู้จักกับ สรรพคุณของลูกเดือย และ ประโยชน์ของลูกเดือย ให้มากขึ้นกันเลยดีกว่านะค่ะ รับรองได้เลยว่าเกร็ดน่ารู้ๆ แบบนี้จะเป็นประโยชน์สำหรับคนที่รักสุขภาพ อย่างแน่นอนค่ะ ว่าแล้วเราก็เข้าไปดูสรรพคุณของลูกเดือยและประโยชน์ของลูกเดือยกันเลยค่ะ
  

สรรพคุณ / ประโยชน์ของลูกเดือย

ในตำรายาจีนบอกไว้ว่า ลูกเดือย ซึ่งมีรสจืดนั้นมีฤทธิ์เป็นยาเย็น ช่วยบำรุงกำลัง หล่อลื่นกระเพาะอาหารและลำไส้ บำรุงปอด ม้าม ตับ ขับปัสสาวะ ขับเสมหะ แก้ไข้ แก้ท้องเสีย แก้ทางเดินหายใจ เหน็บชา แก้ปวดเข่า ปวดข้อ ไขข้ออักเสบ แก้ชักกระตุก บวมน้ำ ปอดอ่อนแอไอเป็นเลือด ฝีที่ลำไส้ แก้อาการ ตกขาวผิดปกติ ช่วยย่อยอาหาร บำรุงเส้นผมและผิวหนัง แก้ร้อนในกระหายน้ำ ลดการเกิดกระ รักษาโรคหูด ลดการ เกิดมะเร็ง เพราะมีสารคอกซีโนไลด์ (coxenolide)ที่มีสรรพคุณในการยับยั้งการเกิดเนื้องอก
ซึ่งสอดคล้องกับข้อมูลการทดลองทางวิทยาศาสตร์ ว่าสารคอกซีโนไลด์ในเมล็ดเดือยมีสรรพคุณในการยับยั้งการเจริญของเนื้องอกและพบว่าสารสกัดด้วยน้ำหรือตัวทำละลายอินทรีย์ จากรากหรือเมล็ดเดือยมีฤทธิ์ทำให้การหมุนเวียนของเลือดที่ผิวหนังดีขึ้นทำให้เส้นผมงอกงามดี
ผลการทดลองการรักษาโรคหูดที่มักจะเป็นเรื้อรังก็ช่วยยืนยันสรรพคุณของลูกเดือย โดยการทดลองในคนไข้ 23 ราย ให้กินลูกเดือย 60 กรัม ต้มรวมกับข้าวรับประทานวันละ 1 ครั้ง ติดต่อกันจนกว่าจะหาย หลังจากกินลูกเดือยติดต่อกัน 7-76 วัน ได้ผลหายขาด 11 ราย อาการดีขึ้น 8 ราย ไม่ได้ผล 6 ราย ซึ่งอาจเป็นเพราะสารจากลูกเดือยมีฤทธิ์ทำให้เลือดมาเลี้ยงที่ผิวหนังดีขึ้น หรือจากฤทธิ์ยับยั้งการเจริญเติบโตของเนื้องอกนั่นเอง
เหตุที่ลูกเดือยมีคุณค่าทางอาหารสูง เพราะมีปริมาณโปรตีน 13.84% คาร์โบ-ไฮเดรต 70.65% เยื่อใย 0.23% ไขมัน 5.03% แร่ธาตุต่างๆ อีกมากมาย โดยเฉพาะฟอสฟอรัสซึ่งช่วยบำรุงกระดูกมีอยู่ในปริมาณสูงรวมทั้งวิตามินเอที่ช่วยบำรุงสายตา วิตามินบี 1 และวิตามินบี 2 โดยเฉพาะวิมามินบี 1 มีในปริมาณ มาก (มีมากกว่าข้าวกล้อง) ซึ่งช่วยแก้โรคเหน็บชาด้วย
คุณค่ายังไม่หมดเท่านี้ เพราะลูกเดือยยังมีกรดอะมิโนทุกชนิดที่สูงกว่าความต้องการตามมาตรฐานขององค์การอนามัยโลก ยกเว้นเมทไธโอนีนและไลซีน เช่น มีกรดกลูตามิกในปริมาณมากตามด้วยลูซีน, อลานีน,โปรลีน วาลีน, ฟินิลอลานีน, ไอโซลูซีน และอาร์จีนีนลดหลั่นลงมา

แถมลูกเดือยยังมีกรดไขมันจำเป็นชนิดที่ไม่อิ่มตัวด้วย เช่น กรดโอเลอิค และกรดลิโนเลอิก รวมแล้วถึง 84% และเป็นกรดไขมันชนิดอิ่มตัว คือ ปาล์มิติ และสเตียริก เพียง 16% เท่านั้น

เห็นมั้ยค่ะว่า ลูกเดือยเป็นอาหารคุณภาพคับเมล็ดจริงๆ เพราะให้ทั้งพลังงาน ไขมัน แร่ธาตุ และกรดที่จำเป็นต่อร่างกายอย่างยอดเยี่ยม

ลูกเดือยจึงเป็นอาหารบำรุงกำลังชั้นดีเหมาะสำหรับคนทุกเพศทุกวัย เด็กๆ ที่รับประทานลูกเดือยเป็นประจำจะช่วยบำรุงม้ามและกระเพาะอาหาร สตรีหลังคลอดควรรับประทานลูกเดือยเพื่อบำรุงเลือด และผู้สูงอายุที่รับประทานลูกเดือยจะช่วยบำรุงการทำงานของไต

เหตุที่ลูกเดือยมีคุณค่าทางโภชนาการสูงดังกล่าวแล้ว คนจีนส่วนใหญ่จึงนิยมนำมาบดผสมข้าวต้มกินทุกวัน นอกจากนี้ลูกเดือยยังนำมาประกอบอาหารได้หลากหลายชนิดรวมไปถึงทำเป็นอาหารเสริมหรือเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพอีกด้วยค่ะ ลูกเดือยเป็นธัญพืชที่หาซื้อได้ง่ายมีขายกันทั่วไปใครใคร่รับประทานแบบไหนก็เลือกซื้อหากันตามชอบใจนะค่ะ







สมุนไพรไทย



    สรรพคุณ และ ประโยชน์ของข้าวโอ๊ต






วันนี้เรามีเรื่องน่ารู้ดีๆ เกี่ยวกับสรรพคุณของข้าวโอ๊ตและประโยชน์ของข้าวโอ๊ต ถ้าพูดถึงส่วนผสมของอาหารธัญญาพืชที่มีวางจำหน่ายตามร้านค้าทั่วไปก็แน่นอนว่าจะต้องมีส่วนผมสของข้าวโอ๊ดอย่างแน่นอน แต่หลายๆ คนก็คงจะยังจะนึกน่าจะไม่ออกหรือยัง งง อยู่ว่าประโยชน์ของข้าวโอ๊ตดีต่อร่างกายของเราอย่างไรบ้าง เพราะฉะนั้นวันนี้เราจะพาคุณไปเจาะลึกถึง สรรพคุณของข้าวโอ๊ต และ ประโยชน์ของข้าวโอ๊ต กันค่ะ สำหรับ สรรพคุณของข้าวโอ๊ต และ ประโยชน์ของข้าวโอ๊ต นั้นมีเยอกเยอะมากมายเลยนะค่ะ และที่สำคัญเลยคือ ประโยชน์ของข้าวโอ๊ต ยังมีส่วนช่วยในเรื่องของความงามด้วยแหละ รู้ขนาดนี้แล้วสาวๆ ทั้งหลายยังจะกล้ามองข้ามข้าวโอ๊ตอีกหรอค่ะ ถ้าอย่างนั้นแล้วเราก็เข้าไปรู้ลึกเรื่อง สรรพคุณของข้าวโอ๊ต และ ประโยชน์ของข้าวโอ๊ต กันอย่างละเอียดเลยดีกว่านะค่ะ เพียงแค่คุณรู้จักกับประโยชน์ต่างๆ ของอาหารบำรุงสุขภาพรับรองว่าคุณก็จะสามารถมีสุขภาพที่ดีได้ด้วยการดูแลของตัวคุณเองค่ะ
  

สรรพคุณ / ประโยชน์ของข้าวโอ๊ต

1. เหตุผลดีๆ ที่ข้าวโอ๊ตมีประโยชน์

ข้าวโอ๊ตมักนิยมนำมารับประทานเป็นอาหารเช้าเพราะเป็นธัญพืชที่ให้พลังงานสูงแต่ให้ไขมันที่ต่ำ มีวิตามินและเกลือแร่ที่ร่างกายสามารถนำไปใช้เป็นพลังงานได้อย่างทันทีและสารแอนตี้ออกซิแดนท์ ข้าวโอ๊ตจึงนับเป็นอาหารที่ทำให้เราได้รับสารอาหารที่หลากหลาย มีเส้นใยมาก ทำให้อวัยวะต่างๆ ในร่างกายโดยเฉพาะลำไส้เราทำงานได้เต็มประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ลดอาการท้องผูก จึงดูดซึมน้ำตาลไขมันของเสียต่างๆ ได้ดี ช่วยลดระดับน้ำตาลในเส้นเลือดทำให้เรารู้สึกอิ่มนานไม่หิวระหว่างมื้อบ่อยๆ นอกจากนี้ยังมีสารประกอบที่สำคัญคือ เบต้ากลูแคน เป็นเส้นใยอาหารที่สามารถละลายในน้ำได้ดี มีคุณสมบัติคอยดูดซับคอเลสตอรอลในลำไส้เล็กและปล่อยเป็นของเสียออกจากร่างกาย การรับประทานข้าวโอ๊ตจึงช่วยในการลดคอเลสตอรอล ลดความเสี่ยงในการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจอุดตันและโรคหัวใจได้ผลดี ซึ่งองค์การอาหารและยาประเทศสหรัฐอเมริกา (USFDA) รับรองผลการศึกษาวิจัยว่า หากร่างกายได้รับเบเต้ากลูแคนอย่างน้อย 3 กรัมต่อวันจะสามารถช่วยลดปัญหาคอเลสเตอรอลได้ จึงเหมาะกับผู้ที่ต้องควบคุมปริมาณคอเลสเตอรอลและผู้ที่ต้องการควบคุมน้ำหนัก

2. ข้าวโอ๊ต กินอย่างไรได้ประโยชน์?

เรามักนิยมนำข้าวโอ๊ตมารับประทานเป็นอาหารเช้าเพื่อสุขภาพเพราะมีคุณค่าทางโภชนาการอย่างครบถ้วน ข้าวโอ๊ต 100 กรัม ให้พลังงาน 390 กิโลแคลอรี (1,630 กิโลจูล) คาร์โบไฮเดรต 66 กรัม ไขมัน 7 กรัม โปรตีน 17 กรัม วิตามินบี 5 1.3 มิลลิกรัม ธาตุเหล็ก 5 มิลลิกรัม แมกนีเซียม 177 มิลลิกรัม และกากใยไฟเบอร์ชนิดไม่ละลายน้ำ 4 กรัม เราสามารถนำข้าวโอ๊ตมาปรุงเป็นหลากหลายเมนูอร่อยได้ไม่ซ้ำ สามารถรับประมาณได้ตลอดและรวดเร็วเหมาะกับวิถีชีวิตชาวเมืองที่รีบเร่งของทุกวันนี้ด้วยค่ะ สบายอารมณ์มีสูตรข้าวโอ๊ตอร่อยๆ มานำเสนอเผื่อสาวๆ อยากจะทำรับประทานที่บ้านบ้างก็ไม่ว่ากันค่ะ

- ตอนเช้าๆ ลองซื้อน้ำเต้าหู้เจ้าอร่อยหรือนมสดสักแก้วแล้วผสมข้าวโอ๊ตลงไป (หาซื้อได้ตามห้างสรรพสินค้าทั่วไปค่ะ) พร้อมลูกเกด ผลไม้สดต่างๆ เมล็ดทานตะวัน เมล็ดฟักทอง ถั่วลิสง ช่วยเพิ่มพลังให้เช้านี้อย่างสดใสอิ่มท้องอยู่นานไปจนมื้อเที่ยงเลยค่ะ

- โจ๊กข้าวโอ๊ตร้อนๆ นำข้าวมาต้มให้เปื่อยจนกลายเป็นโจ๊กแล้วปรุงน้ำซุปให้ได้รสชาติตามต้องการ จากนั้นเติมข้าวโอ๊ตลงไปตามด้วยหมูสับและผักตามชอบสับละเอียดก็จะได้โจ๊กข้าวโอ๊ตร้อนๆ มากคุณค่า


3. ข้าวโอ๊ตกับความงาม

นอกจากนี้ข้าวโอ๊ตยังสามารถนำมาใช้บำรุงความสวยความงามของสาวๆ กันได้อีกมากมาย นำมาเป็นส่วนผสมของผลิตภัณฑ์บำรุงผิวต่างๆ เช่น แชมพู โลชั่นทาผิว สบู่ข้าวโอ๊ต เพราะข้าวโอ๊ตมีวิตามินอีเป็นกลีเซอรีนตามธรรมชาติ คงความชุ่มชื่นของผิวได้ดี นอกจากนี้เรายังสามารถนำข้าวโอ๊ตมาผสมกับน้ำผึ้งแล้วนำมาสครับผิวได้อีกด้วยค่ะ หรือสามารถนำมาผสมน้ำอาบช่วยผลัดเซลล์ผิวเก่าช่วยให้ผิวเนียนนุ่มขึ้นแต่ไม่มันเพราะมีคุณสมบัติพิเศษในการช่วยดูดซับความมันออกจากผิวได้







สมุนไพรไทย



"ผักรสขม" สมุนไพรสรรพคุณและประโยชน์เพื่อสุขภาพ




อีกหนึ่งเกร็ดดีๆ ที่หลายๆ คนควรให้ความสนใจกับผักรสขม เขาว่ากันว่า หวามเป็นลมขมเป็นยา คำโบราณที่เชื่อว่าทุกๆ คนคงต้องเคยได้ยินอย่างแน่นอน ถึงแม้จะรู้ว่าขมเป็นยาแต่พืชผักสมุนไพรที่มีรสขมทุกชนิดคนรุ่นใหม่มักจะร้องยี้และแทบอ้วกกันเป็นแถวๆ แถมยังมีบางคนที่บอกว่าผักสมุนไพรเป็นอาหารของคนแก่ จะมีสักกี่คนค่ะที่รู้ว่าพืช ผักรสขม สมุนไพรเหล่านี้ มีสรรพคุณทางยาที่สามารถช่วยรักษาโรคบางชนิดได้ด้วย และโดยเฉพาะ ผักรสขม ที่หลายๆ คนร้องยี้นี้แหละค่ะที่มีประโยชน์เป็นอย่างมาก ถ้าเอ่ยถึง ผักรสขม หลายๆ คนก็คงจะนึกถึง สะเดา ขี้เหล็ก มะระ ใบยอ ฯลฯ แต่เชื่อไหมค่ะว่า ผักรสขม สามารถนำมาทำเป็นอาหารที่ขึ้นชื่อได้ด้วยน๊า... งั้นวันนี้เราก็เข้าไปรู้จักกับประโยชน์ของผักรสขมและสรรพคุณของผักรสขมกันเลยดีกว่านะค่ะ ถ้าเห็นประโยชน์ของผักรสขมและสรรพคุณของผักรสขมแล้วก็อย่างลืมจัดไว้ในมื้ออาหารของคุณด้วยนะค่ะ ยังงัยก็เพื่อการมีสุขภาพที่ดีของคุณค่ะ


4 ผักรสขม สรรพคุณและประโยชน์มากล้น

1. สะเดา

ใครจะรู้ว่าทุกส่วนของสะเดามีคุณสมบัติเป็นยาได้ทั้งสิ้น คนโบราณเชื่อว่า "กินสะเดาก่อนเป็นไข้ช่วยป้องกันไข้ได้ กินสะเดาเมื่อเป็นไข้แล้วรักษาให้หายไข้ได้" ก็ไม่ผิดเพราะผักรสขมอย่างสะเดามีประโยชน์ช่วยบำรุงเลือด ช่วยเจริญอาหาร เป็นยาระบาย ช่วยให้นอนหลับดี และช่วยรักษาอาการไข้ เรานิยมนำยอดและดอกมาทำอาหาร ซึ่งให้คุณค่าทางโภชนาการเช่น โปรตีน คาร์โบไฮเดรต แคลเซียม ฟอสฟอรัส เหล็ก เส้นใย เบต้าแคโรทีน วิตามินเอ วิตามินบี 1 วิตามินบี 2 วิตามินซี และไนอาซิน สำหรับเมนูยอดฮิตของสะเดาก็นี่เลยสะเดาน้ำปลาหวานทานกับปลาดุกย่างอร่อยจนลืมขมไปเลยค่ะ

2. ขี้เหล็ก

ดอกตูมและใบอ่อนของขี้เหล็กมีรสขม ขี้เหล็กถือเป็นยานอนหลับชั้นยอด ช่วยระบายท้องได้ดี บำรุงร่างกาย แก้ระดูขาว แก้นิ่ว ขับปัสสาวะ แก้ไข้ ช่วยลดความดันโลหิต และรักษากามโรค มีสารอาหาร เช่น วิตามินเอและซีค่อนข้างสูง มีเส้นใย แคลเซียม ฟอสฟอรัส เหล็ก วิตามินบี 1 และไนอาซิน ยอดขี้เหล็กมีสารช่วยคลายเครียดทำให้นอนหลับสบาย เมนูขี้เหล็กที่นิยมมีทั้งดอกตูมและใบอ่อน เช่น แกงคั่วใส่กะทิ หรือกินเป็นผักจิ้มน้ำพริก แกงขี้เหล็กจะอร่อยก็ต้องมีกะทิใส่ปลาย่างหรือหมูสับ กะทิในแกงขี้เหล็กไม่ได้ใส่เพื่อเพิ่มความอร่อยอย่างเดียว แต่มีส่วนในการดึงสารเบต้าแคโรทีนในขี้เหล็กออกมาใช้ประโยชน์ได้มากขึ้นอีกด้วย

3. มะระ

ทั้งมะระจีนและมะระขี้นกในตำรายาไทยบอกว่าเป็นยาเจริญอาหาร ยาระบาย หัวเข่าบวม บำรุงน้ำดี แก้โรคของม้าม โรคตับ ขับพยาธิ มีสรรพคุณในการรักษาโรคเบาหวาน ลดน้ำตาลในเลือด แก้ไข้ แก้ร้อนใน กระหายน้ำ บำรุงระดู แพทย์จีนเชื่อว่ามะระมีพลังของความเย็น ช่วยขับพิษ ช่วยฟอกเลือด บำรุงตับ มีผลดีต่อสายตาและผิวหนัง แม่บ้านชาวจีน มักจะปรุงอาหารด้วยมะระ ให้คนในครอบครัวรับประทานยามเป็นสิวที่ใบหน้าและร่างกาย เมนูมะระ เช่น ผลอ่อนและยอดอ่อนนำมาลวกต้มเป็นผักจิ้มน้ำพริก ถ้าราดด้วยน้ำกะทิจะมีรสชาติดีขึ้น ผัดใส่ไข่ แกงกะทิ แกงจืดยัดไส้หมูสับ ส่วนมะระขี้นกมีรสขมกว่ามะระจีน ผลอ่อนนำไปต้มเผากินกับน้ำพริกหรือราดกะทิสดเพิ่มรสชาติ แกงจืดมะระขี้นกยัดไส้หมูสับ พะแนงมะระขี้นกยัดไส้ แกงเผ็ด ผัดกับไข่ ยอดมะระลวกจิ้มน้ำพริกหรือทานกับปลาป่นของชาวอีสาน และนิยมนำใบใส่ลงไปในแกงเห็ดแบบพื้นบ้านจะทำให้แกงมีรสขมนิดๆ กลมกล่อมมาก บ้างนิยมนำใบมาต้มหรือลวกจิ้มน้ำพริก ทางภาคเหนือนิยมนำยอดมะระสดมากินกับลาบหรือนำไปทำแกงคั่ว แกงเลียง และแกงป่า ได้รสน้ำแกงที่ขมเฉพาะตัว

4. ยอ

ผักพื้นบ้านที่คนไทยรู้จักดีและบริโภคเป็นอาหารมานานทั้งใบและผลยอมีวิตามินซีสูง ช่วยต้านมะเร็ง กระตุ้นการทำงานของเม็ดเลือดขาวให้มีประสิทธิภาพ ลดอาการภูมิแพ้ ช่วยให้การทำงานของเซลล์ในร่างกายเป็นปกติ เป็นยาระบาย ช่วยขับลม แก้คลื่นเหียนอาเจียน ช่วยย่อยอาหาร เป็นยาอายุวัฒนะ ช่วยบำรุงธาตุ ผู้หญิงควรกินลูกยอที่แก่จัดเพื่อบำรุงเลือดลม ปวดท้องประจำเดือน รักษาอาการประจำเดือนมาไม่ปกติ คนโบราณเชื่อว่าถ้าเลือดลมดี ผิวพรรณก็จะเปล่งปลั่ง สดใส ไม่เป็นสิวฝ้า เราจึงควรหาโอกาสทานอาหารที่มียอเป็นส่วนประกอบเพราะนอกจากจะมีคุณค่าทางอาหารสูงแล้วยังเป็นปัจจัยที่จะทำให้ร่างกายเป็นปกติโดยไม่เสียสมดุล เมนูเด็ดใบยอ เช่น แกงใบยอปลาดุก ห่อมกใบยอ แกงอ่อมใบยอ ข้าวยำใบยอ เมี่ยงใบยอ หรือยอดใบยอจิ้มน้ำพริกก็อร่อยไปอีกแบบ ส่วนผลก็ลองนำลูกยอสุกงอมจิ้มเกลือกับน้ำตาลกินหรือบางคนอาจยังไม่เคยทานส้มตำลูกยอ และปัจจุบันก็มีการผลิตน้ำลูกยอขายลองไปหามาชิมดู








สมุนไพรไทย



สรรพคุณ และ ประโยชน์ของเมล็ดกาแฟ






วันนี้เราได้นำเอาเกร็ดน่ารู้ที่เกี่ยวกับสรรคุณของเมล็ดกาแฟและประโยชน์ของเมล็ดกาแฟมาฝากคอกาแฟทั้งหลายให้ได้รู้กันค่ะ เชื่อว่าหลายๆ คนคงจะเคยดื่มกาแฟกันใช่ไหมค่ะและก็เชื่อว่ายังมีอีกหลายคนที่ดื่มกาแฟบ่อยๆ จนถึงขั้นติดกาแฟเลย ก็อย่างว่าแหละข้อดีของกาแฟที่เรารู้กันก็คือถ้าดื่มกาแฟแล้วจะไม่ง่วง แต่วันนี้คอกาแฟทั้งหลายต้องตั้งใจฟังเป็นพิเศษเพราะว่าวันนี้เราได้นำเอา สรรคุณของเมล็ดกาแฟ และ ประโยชน์ของเมล็ดกาแฟ มาบอกกันค่ะ สรรคุณของเมล็ดกาแฟ และ ประโยชน์ของเมล็ดกาแฟ ไม่ใช่แค่จะทำให้กาแฟสดใหม่ หอมอร่อยแค่นั้นนะค่ะ สรรคุณของเมล็ดกาแฟ และ ประโยชน์ของเมล็ดกาแฟ นี้ยังมีประโยชน์อีกตั้งมากมาย งั้นวันนี้เราเข้าไปรู้จักกับ สรรคุณของเมล็ดกาแฟ และ ประโยชน์ของเมล็ดกาแฟ กันอย่างละเอียดกันเลยดีกว่านะค่ะ รับรองว่าคุณจะได้สาระและประโยชน์จากเครื่องดื่มที่คุณชื่นชอบอย่างแน่นอนเลยค่ะ

สรรคุณ / ประโยชน์ของเมล็ดกาแฟ

1. ทำให้ลมหายใจหอมสดชื่น สิ่งที่ต้องทำเมื่อคุณไม่มีลูกอมดับกลิ่นปาก ก็คือเอาเมล็ดกาแฟมาอมเอาไว้ชั่วครู่ ลมหายใจคุณจะมีกลิ่นสะอาดและสดชื่นอีกครั้ง

2. กำจัดกลิ่นอาหาร ถ้ามือของคุณมีกลิ่นกระเทียม ปลาหรือกลิ่นอาหารแรงๆ เมล็ดกาแฟเล็กน้อยสามารถช่วย คุณกำจัดกลิ่นไม่พึงประสงค์ได้ โดยเทเมล็ดกาแฟลงบนมือและถูมือเข้าด้วยกันสักครู่ น้ำมันจากเมล็ดกาแฟจะดูดซับ กลิ่นเหม็นๆ ออกไป จากนั้นก็ล้างมือด้วยน้ำอุ่นและสบู่ให้สะอาด

3. ยัดไส้เก้าอี้ เก้าอี้แบบที่เรียกว่าบีนแบ็ก หรือเก้าอี้ทรงถุงกลมๆ ที่มักยัดไส้ด้วยเม็ดถั่ว ที่จริงแล้วเมล็ดกาแฟก็สามารถ เอามาใช้ทดแทนกันได้เช่นกัน ลองหาเมล็ดกาแฟคั่วชนิดราคาถูกที่สุดเอามาใช้ ข้อดีอีกอย่างก็คือมันจะช่วยดูดซับ กลิ่นไม่พึงประสงค์ต่างๆ ให้ห้องได้ด้วย






สมุนไพรไทย



สรรพคุณ และ ประโยชน์ของโกจิเบอร์รี่ (เก๋ากี้)

ผลโกจิเบอร์รี่ (เก๋ากี้) เป็นที่รู้จักกันอย่างดีในแถบเอเชียว่าเป็นอาหารที่อุดมไปด้วยคุณค่าด้านสารอาหารมากที่สุด ผลโกจิเบอร์รี่ (เก๋ากี้) ใช้เป็นส่วนประกอบที่สำคัญทางยาจีนแผนโบราณซึ่งได้มีการบันทึกในประวัติศาสตร์จีนเกือบ 2,000 ปี จากตำนานที่ไม่มีการบันทึกไว้เป็นหลักฐานพบว่า โกจิเบอร์รี่ (เก๋ากี้) เป็นพืชโบราณที่มีอายุมากว่าที่จดบันทึกไว้ราว 2,800 ปี ก่อนพุทธกาล

ผลโกจิเบอร์รี่ (เก๋ากี้) เป็นที่นิยมในประเทศในประเทศสหรัฐอเมริกา ประเทศอื่นๆ ในระดับแนวหน้าอุตสาหกรรมรมอาหารระดับโลก เพราะผลโกจิเบอร์รี่ (เก๋ากี้) อุดมไปด้วยคุณค่าด้านสารอาหารและการต่อต้านอนุมูลอิสระ (Antioxidant)

โกจิเบอร์รี่ (เก๋ากี้) มีพลังแอนตี้ออกซิแดนซ์ (ต่อต้านอนุมูลอิสระจากการทำลายเซลล์และชะลอความชรามากที่สุดในโลก)

โกจิเบอร์รี่ (เก๋ากี้) แต่ละชนิดมีความแตกต่างกัน การค้นหาโกจิเบอร์รี่ (เก๋ากี้) ชนิดที่ดีเยี่ยมจริงๆ เช่นเดียวกับความหลากหลายของผลองุ่น คุณภาพของเหล้าไวน์ที่แตกต่างกันไป ผลโกจิเบอร์รี่ (เก๋ากี้) มีสายพันธุ์ต่างๆ มากถึง 41 สายพันธุ์ด้วยกันที่ปลูกในทิเบต ดร.Mindell ทราบดีว่าเขาต้องทุ่มเทวิเคราะห์สายพันธุ์โกจิหลายสิบสายพันธุ์เป็นอย่างมากเพื่อหาสายพันธุ์ที่ดีเยี่ยมเพียงสายพันธุ์เดียว ซึ่งเป็นสายพันธุ์เดียวกันกับที่หมอรักษาชาวหิมาลัยโบราณเป็นผู้ค้นพบและได้รับการกล่าวขานยกย่องเป็นตำนานมาตั้งแต่สมัยโบราณ

จากการค้นคว้าและวิจัยของ Dr. Earl Mindell ได้ค้นพบว่าผลโกจิเบอร์รี่ (เก๋ากี้) ให้คุณค่าทางโภชนาการมากที่สุดในโลก นอกจากนี้ยังพบประโยชน์ในงานวิจัยดังนี้
- ชะลอความชรา (Anti-aging)
- ควบคุมน้ำตาลในเม็ดเลือดแดง (Blood Builder)
- เสริมสร้างการทำงานของหัวใจ (Cardiovascular Support)
- เสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันร่างกาย (Immunity System)

ประโยชน์มากมายจากอาหารที่อุดมด้วยคุณค่าทางโภชนาการ โกจิเบอร์รี่ หรือ เก๋ากี้ รู้จักกันในทางวิทยาศาสตร์ว่า เป็นพืชในตระกูล Lycium Barbarum มีแหล่งกำเนิดในประเทศจีน ทิเบต




วันนี้เราได้นำเอาความรู้เกี่ยวกับสรรพคุณของโกจิเบอร์รี่และประโยชน์ของโกจิเบอร์รี่ (เก๋ากี้) มาฝากค่ะ ตอนนี้เชื่อได้เลยว่าหลายๆ คนตอนนี้คงจะสงสัยว่า เก๋ากี้ คืออะไรอยู่ใช่ไหมหล่ะค่ะ เก๋ากี้ ก็คือ ผลโกจิเบอร์รี่ นั้นเอง ว่ากันว่าโกจิเบอร์รี่หรือเก๋ากี้เป็นน้ำผลไม้ที่มีแหล่งที่มาจากเทือกเขาหิมาลัยเชียวนะ แถมมีรสชาติดีมีกลิ่นหอมและยังมีประโยชน์ต่อสุขภาพร่างกายอีกด้วย วันนี้เราก็เลยได้นำเอา สรรพคุณของโกจิเบอร์รี่ และ ประโยชน์ของโกจิเบอร์รี่ (เก๋ากี้) มาบอกให้รู้กันค่ะ สำหรับ สรรพคุณของโกจิเบอร์รี่ และ ประโยชน์ของโกจิเบอร์รี่ (เก๋ากี้) ก็อย่างที่บอกไปแล้วว่ามีประโยชน์อย่างมากสำหรับสุขภาพและร่างกายแถบจะพูดกันไม่หมด งั้นเราลองไปดูกันดีกว่านะค่ะว่า สรรพคุณของโกจิเบอร์รี่ และ ประโยชน์ของโกจิเบอร์รี่ (เก๋ากี้) จะสามรถช่วยดูแลส่วนไหนของร่างกายเราได้บ้าง รับรองได้เลยนะค่ะว่า สรรพคุณของโกจิเบอร์รี่ และ ประโยชน์ของโกจิเบอร์รี่ (เก๋ากี้) นี้ดีต่อสุขภาพจริงๆ ใครที่รักในการดูแลสุขภาพห้ามพลาดเลยนะค่ะ

สรรพคุณ และ ประโยชน์ของโกจิเบอร์รี่ (เก๋ากี้)



สรรพคุณ / ประโยชน์ของโกจิเบอร์รี่ (เก๋ากี้)

ผลโกจิเบอร์รี่ (เก๋ากี้) คืออะไร

ผลโกจิเบอร์รี่ หรือมีชื่อในภาษาอังกฤษว่า Chinese Wolfberry ซึ่งเป็นที่รู้จักกันทางเภสัชศาสตร์ว่าเป็นพืชในตระกูล Lyceum Barum มีแหล่งกำเนิดในประเทศจีน

ความสำคัญของผลโกจิเบอร์รี่ (เก๋ากี้)

สรรพคุณ และ ประโยชน์ของโกจิเบอร์รี่ (เก๋ากี้) ได้แก่

1. ประกอบด้วยกรดอะมิโน 19 ชนิด (ปกติมี 20 ชนิด) แต่มีกรดอะมิโนครบทั้ง 9 ชนิด

2. มีแร่ธาตุที่ร่างกายต้องกายในปริมาณน้อย รวม 21 ชนิด ที่สำคัญได้แก่ สังกะสี เหล็ก ทองแดง แคลเซี่ยม ฟอสฟอรัส ซิลีเนียม และเจอร์มาเนียม ฯลฯ

3. มีวิตามินซีสูงกว่าส้ม 500 เท่า (เป็นพืชที่มีวิตามินิซีสูงเป็นอันดับสอง รองจาก คามู คามูเบอร์รี่)

4. มีวิตามิน บี1 บี2 บี6 และวิตามินอี

5. มีสารโพลี่แซคคาไรด์ 4 ชนิด : LBP-1, LBP-2, LBP-3, LBP-4
- ช่วยทำให้ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายอยู่ในสภาวะสมดุลดี
- ช่วยปรับความดันโลหิตให้ปกติ
- ช่วยให้น้ำตาลในเลือด และอินซูลินอยู่ในสภาวะสมดุล
- ช่วยลดน้ำหนัก โดยเสริมการเปลี่ยนอาหารให้เป็นพลังงานแทนไขมัน
- ช่วยฟื้นฟูสภาพเซลล์ที่ถูกทำลายจากสารเคมีหรือรังสีให้สู่ปกติได้เร็วขึ้น

6. มีสารเจอร์มาเนี่ยม Germanium : Ge ที่อยู่ในสภาพอินทรีย์ (organic) ช่วยฆ่าเซลล์มะเร็ง

7. มีสารซิแซนทิน(Zeaxanthin) มีสูงถึง162 มก./100 กรัมสูงกว่าสาหร่ายเกลียวทองประมาณ 5 เท่า
- ช่วยบำรุงสายตา และป้องกันแสงสีน้ำเงินที่ทำลายดวงตา
- ช่วยผู้มีอาการ ต้อลม ตาพร่า ตามัว ให้คืนสู่สภาพปกติ
8. เบต้า - ไซโตสเตอรอล (Beta - sitosterol)
- ช่วยลดคอเลสเตอรอลโดยการดูดซึมที่ลำไส้
- ช่วยลดอาการต่อมลูกหมากโต
- ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพน้ำอสุจิให้แข็งแรง

9. ไซเพอโรน (Cyperone) ช่วยให้หัวใจและความดันทำงานได้ปกติ

10. ไฟซาลิน (Physalin) ช่วยกำจัดโรคร้าย ลิวคีเมีย (Leukemia)

11. บีรเทน (Betaine) เป็นสารประกอบที่ให้ตับใช้ ผลิตโคลีนซึ่งเป็นสารประกอบที่
- ช่วยให้มีความจำดี
- ช่วยกระตุ้นให้กล้ามเนื้อเจริญเติบโต
- ช่วยป้องกันโรคตับ

12. สารต้านอนุมูลอิสระ (Antioxidant) ที่มีประสิทธิภาพสูงที่สุดในบรรดาผักและผลไม้อื่นๆ คือ มีค่า ORAC สูง 25,300 unite

จากเหตุผลดังกล่าวข้างต้นคุณสามารถดื่มน้ำโกจิเบอร์รี่ (เก๋ากี้) เพื่อรักษาและป้องกันอาการต่างๆ ได้ เพราะน้ำโกจิเบอร์รี่ (เก๋ากี้) ก็คือ น้ำผลไม้ไม่ใช่ยา ไม่มีผลข้างเคียง ชาวจีนใช้กันมาเป็นเวลายาวนานกว่า 3,000 ปี







สมุนไพรไทย




สรรพคุณ และ ประโยชน์ของน้ำมันมะพร้าวบริสุทธิ์




เกร็ดน่ารู้ของเราในวันนี้คือประโยชน์ของน้ำมันมะพร้าวบริสุทธิ์ อย่างที่รู้ๆ กันดีว่าสมุนไพรของไทยล้วนแต่มีประโยชน์ทั้งสิ้นแต่จะมีสักกี่คนที่รู้ว่ามะพร้าวก็เป็นอีกหนึ่งสมุนไพรของไทยที่มีประโยชน์ไม่แพ้อย่างอื่นเหมือนกันน๊า... วันนี้เราก็เลยไปนำเอาเกร็ดความรู้ดีๆ เกี่ยวกับ ประโยชน์ของน้ำมันมะพร้าวบริสุทธิ์ และ สรรพคุณของน้ำมันมะพร้าวบริสุทธิ์ มาฝากกันค่ะ มะพร้านอกจากจะนำมารับประทานแล้วประโยชน์ที่เราเห็นได้ชัดนั้นก็คือการทำน้ำมันมะพร้าวและ สรรพคุณของน้ำมันมะพร้าวบริสุทธิ์ มีมากมายหลายหลาย และที่สำคัญ ประโยชน์ของน้ำมันมะพร้าวบริสุทธิ์ ยังทำเป็นเครื่องสำอางค์จากธรรมชาติที่มีความปลอดภัยเป็นอย่างมาก แต่ว่า ประโยชน์ของน้ำมันมะพร้าวบริสุทธิ์ และ สรรพคุณของน้ำมันมะพร้าวบริสุทธิ์ ยังไม่ใช่หมดเพียงเท่านี้ยังมีอีกมากมาย ถ้าอยากรู้แล้วเราก็เข้าไปดู ประโยชน์ของน้ำมันมะพร้าวบริสุทธิ์ และ สรรพคุณของน้ำมันมะพร้าวบริสุทธิ์ ที่ดีๆ กันเลยดีกว่านะค่ะ


น้ำมันมะพร้าวบริสุทธิ์ คือ ...

น้ำมันมะพร้าวบริสุทธิ์ คือ น้ำมันมะพร้าวสกัดเย็นโดยไม่ผ่านความร้อน (cold press coconut oil) ผลิตจากเนื้อมะพร้าวสดเป็นน้ำมันมะพร้าวที่บริสุทธิ์ที่สุด สีใสเหมือนน้ำมีวิตามินอีและไม่ผ่านขบวนการเติมออกซิเจน (oxidation) และที่สำคัญกรดคลอริกในน้ำมันมะพร้าวมีกรดคลอริกอยู่ประมาณ 54.61% กรดนี้มีส่วนที่ทำให้น้ำมันมะพร้าวดีเด่นกว่าน้ำมันพืชชนิดอื่นๆ เพราะมันมีความสามารถพิเศษคือ สร้างภูมิคุ้มกัน เมื่อเราบริโภคน้ำมันมะพร้าวเข้าไปในร่างกายกรดคลอริกในน้ำมันมะพร้าวจะเปลี่ยนเป็นโมโนกลีเซอไรด์ที่มีชื่อว่า โมโนลอรีน ซึ่งเป็นสารตัวเดียวกับที่อยู่ในน้ำนมมารดาที่ช่วยสร้างภูมิคุ้มกันให้กับทารกในระยะ 6 เดือนแรกที่ร่างกายยังไม่สร้างระบบภูมิคุ้มกันทำให้เด็กระยะแรกเกิดไม่ค่อยเป็นอะไร และยังสามมารถฆ่าเชื้อโรค ในโมโนลอรีนเป็นสารปฏิชีวนะที่ใช้อยู่ในปัจจุบันที่สามารถฆ่าเชื้อที่ก่อให้เกิดหลอดเลือดแข็งตัว

สรรพคุณ / ประโยชน์ของน้ำมันมะพร้าวบริสุทธิ์

1. ช่วยในการชะลอความชรา

- ช่วยต่อต้านการเกิดอนุมูลอิสระ
- ป้องกันการเหี่ยวย่นของผิวหนัง
- ป้องกันการเกิดกระและรอยคล้ำบนผิวหน้า
- ป้องกันไม่ให้ผิวแห้ง กระด้าง

2. ป้องกันผมหงอก

น้ำมันมะพร้าวสามรถช่วยลดปริมาณการสูญเสียโปรตีนของเส้นผม เพราะน้ำมันมะพร้าวสามารถยึดเกาะกับโปรตีนของเส้นผมจึงช่วยเสริมความแข็งแรง โดยการรักษาความชื้น และลดรอยแตกแยกในเส้นผมได้ดี

3. ช่วยป้องกันโรค

การบริโภคน้ำมันมะพร้าวเป็นประจำ(เลิกบริโภคน้ำมันไม่อิ่มตัว)จะช่วยแก้ สถานการณ์ร่างกายไม่ค่อยแข็งแรง อ่อนล้าของผู้สูงอายุ และสามารถลดโอกาสการเกิดโรคหัวใจ โรคมะเร็ง โรคเบาหวาน ฯลฯ

4. โรคอ้วน

- ให้พลังงานน้อย
- ช่วยนำไขมันที่สะสมไว้มาใช้เป็นพลังงานน้ำมันมะพร้าวยังไปเร่งอัตราการเผาผลาญอาหารให้เป็นพลังงาน

5. กระตุ้นกิจกรรมทางเพศ

- ใช้แทนสารหล่อลื่นธรรมชาติ น้ำมันมะพร้าวเป็นสารธรรมชาติที่มีสมบัติคล้ายสารหล่อลื่นในช่องคลอด
- ใช้นวดเพื่อกระตุ้นความรู้สึกทางเพศ








สมุนไพรไทย



ประโยชน์ของเปลือกแอปเปิ้ล






ประโยชน์ของเปลือกแอปเปิ้ลนั้นมีค่ามากกมายไม่เฉพาะแต่ในเนื้อของแอปเปิ้ลเท่านั้น คุณรู้หรือไม่ว่าใน ประโยชน์ของเปลือกแอปเปิ้ล นั้นมีสารฟลาโนอยด์สูงซึ่งเจ้าสารตัวนี้มีหน้าที่ในการปฏิบัติการล้างพิษในร่างกายอีกทั้งยังช่วยป้องกันโมเลกุลและต้านอนุมูลอิสระอีกด้วย ที่สำคัญไปยิ่งกว่าคือ ประโยชน์ของเปลือกแอปเปิ้ล ช่วยป้องกันมะเร็งลำไส้ใหญ่ซึ่งเป็นปัญหาต้นๆ ของโรคในปัจจุบัน ฉะนั้นเมื่อรู้ถึงคุณค่าและประโยชน์ของเปลือกแอปเปิ้ลแล้วก็อย่าลืมที่จะหันมารับประทานเปลือกแอปเปิ้ลกันบ้างนะค่ะ เมื่อเวลาที่ซื้อแอปเปิ้ลทุกครั้งจงอย่าลืมล้าให้สะอาดและอย่าปลอกเปลือกเป็นอันขาดเพราะคุณอาจจะทิ้งสารอาหารอันมีคุณค่าที่ดีต่อสุขภาพร่างกายของคุณนะค่ะ

ประโยชน์ของเปลือกแอปเปิ้ล


นักวิทยาศาสตร์โปแลนด์พบอีกว่า หากกินแอปเปิ้ล ผลไม้ซึ่งเป็นที่ยอมรับกันว่าบำรุงสุขภาพ ให้ได้วันละหนึ่งลูกจะป้องกันไม่ให้เป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่และไส้ตรงได้ วารสารวิชา "การป้องกันมะเร็งแห่งยุโรป" แจ้งว่า นักวิจัยได้ศึกษาโดยการให้คนไข้โรคมะเร็งชนิดนั้น กินแอปเปิ้ลประจำวันอาทิตย์ละ 9.5 หน ชั่วระยะเวลาหนึ่ง ปรากฏว่าโรคสามารถพัฒนาไปได้น้อยลง คนไข้รายที่กินแอปเปิ้ลวันละ 1 ลูก โรคจะทุเลาลงในอัตรา 0.65 ส่วนรายที่กินมากกว่านั้น ปรากฏว่า อันตรายของโรคจะลดลงได้ประมาณถึงครึ่ง

พวกเขาเชื่อว่าคุณสมบัติในด้านป้องกันของมันคงมาจากการที่มีสารฟลาโวนอยด์สูงมันทำหน้าที่เป็นตัวล้างพิษมีอยู่อย่างอุดมในเปลือกของแอปเปิ้ล ช่วยป้องกันโมเลกุลหรืออนุมูลอิสระไม่ให้ทำอันตรายเนื้อเยื่อและยังยับยั้งอาการตั้งต้นของโรคและการเติบโตกับขยายพันธุ์อย่างรวดเร็วของเซลล์ด้วย นักวิจัยยังได้แนะนำว่า เนื่องจากสารต่อต้านอนุมูลอิสระจะรวมกันอยู่ตามเปลือกมากกว่าในเนื้อถึง 5 เท่า ดังนั้น เวลากินจึงไม่ควรปอกเปลือกล้างน้ำให้สะอาดอย่างเดียวก็พอ







สมุนไพรไทย



    สรรพคุณ และ ประโยชน์ของมะกอก




วันนี้เรานำความรู้เรื่องประโยชน์ของมะกอกและสรรพคุณของมะกอกซึ่งจัดเป็นพืชผักสมุนไพรไทยพื้นบ้านที่มีมาช้านาน ใน ประโยชน์ของมะกอก และ สรรพคุณของมะกอก ก็มีมากมายอย่างที่คุณคาดไม่ถึงกันเลยทีเดียวค่ะ คนส่วนใหญ่มักจะนำ ผลมะกอก และ ยอดมะกอก มาบริโภคกันค่อนข้างมาก โดยเฉพาะคนที่ชอบรับประทานส้มตำใส่ผลมะกอกน่าจะเป็นที่รู้จักกันดีในเรื่องของรสชาติ กลิ่น และรสของมะกอกเป็นอย่างดี หากใครยังไม่รู้ถึง ประโยชน์ของมะกอก และ สรรพคุณของมะกอก วันนี้เราก็นำความนี้มาบอกกล่าวให้ได้รู้กันอีกด้วย ฉะนั้นพร้อมที่จะรู้ข้อมูลของประโยชน์ของมะกอกและสรรพคุณของมะกอกซึ่งเป็นหนึ่งในสมุนไพรไทยกันแล้วรึยังค่ะ

สรรพคุณ / ประโยชน์ของมะกอก

- ยอดมะกอก กินดิบเป็นผักจิ้ม สุกก็กินได้ เผาจิ้มน้ำพริก

- เนื้อไม้มะกอกแม้จะเป็นไม้เนื้ออ่อน แต่ก็สามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้หลายอย่าง เช่น ทำกล่องไม้ขีด ทำไม้จิ้มฟัน ทำกล่องใส่ของ และหีบศพ เป็นต้น

- เปลือก ป่นเป็นผง ผสมน้ำ ใช้ทาแก้โรคปวดตามข้อ ใช้เป็นยาเย็นแก้โรคท้องเสีย โรคเกี่ยวกับลำไส้ ระงับอาเจียน

- เมล็ด เผาไฟ แช่เอาน้ำดื่ม แก้อาการผิดสำแดง แก้ร้อนใน แก้หอบ สะอึก

- ผลสุก ใช้เป็นยาฝาดสมาน แก้โรคเลือดออกตามไรฟัน (ลักปิดลักเปิด) รักษาโรคกระเพาะอาหารพิการ มีรสเปรี้ยวอมฝาดต่อมาจะเปลี่ยนเป็นรสหวาน ชุ่มคอ ผลสุกมีกลิ่นหอมมาก

แม้ตำราปลูกต้นไม้ในบ้านของชาวไทยจะไม่ถือว่ามะกอกเป็นไม้มงคล เพราะไม่มีข้อห้ามมิให้ปลูกมะกอกในบริเวณบ้าน (เช่น ลั่นทมหรือมะรุม) ดังนั้น หากผู้อ่านท่านใดมีพื้นที่บริเวณบ้านพอก็น่าจะหามะกอกมาปลูกไว้สักต้น เพราะนอกจากรูปทรงต้นและลักษณะใบที่งดงามแล้วท่านยังจะได้ประโยชน์จากมะกอกมากมาย







สมุนไพรไทย



ดีท็อกซ์ ล้างพิษ ด้วย! สมุนไพร ผัก ผลไม้




วันนี้นเราจะพาคุณมาล้างพิษในลำไส้ด้วยการดีท็อกซ์ ล้างพิษ ด้วย สมุนไพร ผัก ผลไม้ ต่อไปนี้ที่เรากำลังจะแนะนำค่ะ สมุนไพรไทยที่เป็น ผัก ผลไม้ สามารถช่วย ดีท็อกซ์ ล้างพิษ ได้มากมาย และไม่เพียงเท่านั้นยังมี ผัก ผลไม้ ของต่างประเทศที่จะมาช่วยคุณในการดีท็อกซ์ ล้างพิษ กันอีด้วย ผักและผลไม้ต่างๆ จัดว่าเป็นอาหารที่วิเศษกันอยู่แล้วนอกจากจะมีประโยชน์ มีกากใยและสารอาหารที่มากโขน อกจากนั้นยังเป็นอาหารดีท็อกซ์ ล้างพิษ ชั้นดีเยี่ยมยอดอีกด้วย ฮัน...แน่...คงอยากจะรู้กันแล้วใช่ไหมค่ะว่าจะมี สมุนไพร ผัก ผลไม้ชนิดใดกันบ้างที่จะมาช่วยในการดีท็อกซ์ ล้างพิษ อย่างได้ผลใช่ไหมล่ะค่ะ นั้นเราไม่รอช้ามาดูกันเลยดีกว่าค่ะ อ๋อ...เคล็ดลับในการล้างสารพิษ ควรทานให้ได้อย่างน้อยวันละ 5 ส่วนบริโภค (1 ส่วนบริโภค = 1 ถ้วยตวง หรือ 240 มิลลิลิตร) ถึงจะมีประสิทธิภาพสูงสุด


ดีท็อกซ์ ล้างพิษ ด้วย 10 สมุนไพร ผัก ผลไม้

1. หน่อไม้ฝรั่ง

นำไปนึ่งหรือต้มสักครู่จนนิ่มราดด้วยน้ำมันมะกอกเล็กน้อย บีบน้ำมะนาวลงไป ก็จะได้อาหารเรียกน้ำย่อย หรือเครื่องเคียงที่อุดมด้วยกรดอะมิโนที่เรียกว่า แอสพาราจีน (asparagine) รวมถึงโพแทสเซียมที่ช่วยขับปัสสาวะและทำความสะอาดอวัยวะภายในช่วยไตขับสารพิษ และการบวมน้ำโดยเฉพาะช่วงก่อนมีประจำเดือน


2. บีทรูท

เป็นที่รู้จักว่าช่วยล้างสารพิษในเลือด บีทรูทมีสารเบทาไซอานิน (betacyanin) ซึ่งเป็นแอนตี้ออกซิแดนท์ที่ช่วยให้ผิวกระจ่างใสและช่วยกระตุ้นการทำงานของกระบวนการล้างสารพิษในตับ นำไปอบกับน้ำมันมะกอกเล็กน้อย ราดด้วยน้ำส้มสายชูบัลเซมิกเล็กน้อยจะช่วยให้รสชาติดี แต่ถ้าต้องการให้ได้รับวิตามินครบถ้วน ควรกินดิบๆ โดยนำไปขูดฝอยกินเป็นสลัด


3. เบอร์รี่

บลูเบอร์รี่ สตรอว์เบอร์รี่ ราสพ์เบอร์รี่ และแบล็กเบอร์รี่ อุดมไปด้วยแอนตี้ออกซิแดนท์ต่อสู้กับสารพิษ โดยเฉพาะบลูเบอร์รี่ช่วยให้หลอดเลือดดำและหลอดเลือดแดงแข็งแรง จึงทำให้ออกซิเจนและสารอาหารจำเป็นเข้าสู่ร่างกายได้ในปริมาณมากนำไปทำเป็นสมูธตี้หรือสลัดผลไม้


4. บร็อกโคลี

มีสรรพคุณต่อต้านมะเร็งเนื่องจากมีวิตามินซีสูง บร็อกโคลียังอุดมด้วยสารกลูโคซิโนเลต (glucosinolates) เช่นเดียวกับสารชัลโฟราเฟน (sulforaphane) ซึ่งจะช่วยตับขับสารพิษรับประทานดิบๆ โดยนำดอกบร็อกโคลีจิ้มกับซัลซ่าหรือฮุมมุส (hummus - ทำจากถั่วชิกพีผสมงาและกระเทียมราดด้วยน้ำมันมะกอก) จะนำไปผัดหรือนึ่งเสิร์ฟกับปลาย่าง

5. กะหล่ำปลี

กะหล่ำปลีแดง ผักกาดขาว กะหล่ำปลี หรือผักกวางตุ้งไต้หวัน (bok choy) เป็นอาหารดีท็อกซ์ชั้นยอด ทำเป็นสลัดหรือนำไปผัดหรือนำไปต้มและผัดเร็วๆ ด้วยไฟแรงในน้ำมันมะกอก


6. มะนาว (lemons)

สีเหลืองของมะนาวมาจากการที่มีสารแอนตี้ออกซิแดนท์ที่เรียกว่า ไบโอฟลาโวนอยด์อยู่สูงจึงช่วยการทำงานของตับได้อย่างมีประสิทธิภาพและช่วยในการล้างสารพิษ บีบมะนาวลงในน้ำร้อนดื่มเป็นอย่างแรกหลังตื่นนอนตอนเช้า หรือนำไปคั้นผสมกับส้มและเกรฟฟรุตดื่มเพิ่มความสดชื่น


7. ลินสีด (Linseed) หรือ เมล็ดแฟล็กซ์

นอกจากอุดมด้วยกรดไขมันจำเป็นแล้ว ลินสีดยังช่วยล้างลำไส้และทำให้ขับถ่ายเป็นปกติ เพื่อประสิทธิภาพสูงสุดในการล้างสารพิษให้แช่เมล็ดลินสีด 1 ช้อนโต๊ะในน้ำ 1 แก้ว ทิ้งไว้ 2-3 ชั่วโมง แล้วดื่มจนหมดแก้ว หากไม่ชอบรสชาติให้นำไปปั่นรวมกับผลเบอร์รี่ ทำเป็นสมูธตี้ หรือนำเมล็ดไปบดแล้วโรยบนผลไม้หรือสลัด


8. พริก

อาหารที่มีสีสดใสเช่น พริก และ มะเขือเทศ อุดมด้วยแอนตี้ออกซิแดนท์ในการล้างสารพิษช่วยกำจัดอนุมูลอิสระที่ทำให้เซลล์เสื่อม เสริมสร้างภูมิต้านทานโรค สารประกอบแคปไซซิน (capsaicin) ในพริกทำให้โลหิตไหลเวียนดีและช่วยการทำงานของระบบย่อยอาหาร เมนูดีท็อกซ์ของคุณควรประกอบไปด้วยอาหารสีสันสดใสหลากหลายชนิดเพื่อให้แน่ใจว่าได้รับแอนตี้ออกซิแดนท์ที่หลากหลาย


9. มะละกอ และสับปะรด

มะละกอมีสารปาเปน (papain) ส่วนสับปะรดอุดมไปด้วยบรอมีเลน (bromelain) สารทั้งสองชนิดนี้เป็นเอนไซม์ที่ช่วยในการย่อยโปรตีนและกระตุ้นให้ร่างกายขับของเสียผ่านทางอวัยวะที่มีหน้าที่กำจัดของเสีย สับปะรดมีสรรพคุณเป็นยาขับปัสสาวะอ่อนๆ ซึ่งสารพิษจะถูกขับออกมาทางปัสสาวะนำผลไม้ทั้งสองชนิดนี้มาหั่นเป็นชิ้นๆ กินเป็นอาหารเช้าหรือของหวานหรือนำไปบดกับผักชี กระเทียมสับ พริกแดง ต้นหอม แตงกวา และมะเขือเทศ ตามด้วยน้ำมะนาวทำเป็นซัลซารสชาติอร่อยกินคู่กับปลานึ่ง


10 ผักสลัดน้ำ หรือ วอเตอร์เครส

เช่นเดียวกันบร็อกโคลี วอเตอร์เครส เป็นแหล่งที่อุดมด้วยไปด้วยกลูโคซิโนเลตที่ช่วยกระตุ้นเอนไซม์ดีท็อกซ์ของตับ นอกจากนี้ยังมีแมกนีเซียมและแคลเซียมสูงจึงช่วยเสริมสร้างกระดูกให้แข็งแรงใช้เป็นอาหารทางเลือกแทนผักกาดหอมหรือปรุงเป็นซุปวอเตอร์เครส